ข่าวการชนะการเลือกตั้งของพรรคซีริซา (Syriza) ในกรีซของพรรคฝั่งซ้ายที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัด (Anti austerity หรือการต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อประคองตัวในช่วงเศรษฐกิจขาลงของรัฐบาล เช่น การขึ้นภาษีในสหราชอาณาจักรและเป็นนโยบายที่ยุโรปตะวันตกใช้และส่งเสริม) ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของการ'ไม่อ่อนข้อ'ให้กับยุโรปอีกต่อไป พาโบล อิเกลเซียสกับพรรคโพเดมอสในสเปนถึงกับกล่าวว่า 'ชัยชนะ(จากการเลือกตั้ง)ในซีริเซีย... จะทำให้กรีซมีประธานาธิบดีของตัวเองอย่างแท้จริง --ไม่ใช่ร่างทรงของแอนเกล่า แมร์เคล(จากเยอรมนี)อีกต่อไป' (Guardian, 26 January 2015)
หากเราได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกอย่างคร่าวๆก็คงจะพอทราบกันว่า ระบอบการปกครองต่างๆตั้งแต่ระบอบเผด็จการภายใต้ผู้นำเพียงคนเดียว การปกครองแบบคณาธิปไตยที่ว่าด้วยหลายกลุ่มคณะ ไปจนถึงระบอบประชาธิปไตยนั้นล้วนมีต้นแบบมาจากพื้นที่ที่เรียกว่า กรีซ ในปัจจุบันทั้งสิ้น
เหตุที่ต้องย้ำว่า กรีซในปัจจุบัน (Modern Greece) ก็เพราะถึงแม้ว่าประวัติอารยธรรมด้านต่างๆของโลกจะมีมาจากผืนดินอายุพันปีแห่งนี้ แต่มันเพิ่งมาถูกเรียกว่า รัฐกรีซ (Modern Greek state) จริงๆไม่กี่ร้อยปี หลังจากที่ได้รับอิสรภาพจริงๆจากจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1830 และคำว่า กรีซใหม่ นี้เองที่เป็นตัวปัญหาในการกู้วัตถุโบราณของกรุงอาเธนส์กลับมาจากพิพิธภัณฑ์บริติช มิวเซียม ในกรุงลอนดอน --วัตถุ ที่มาจากวิหารพาเธนอน อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการถวายความเคารพแด่เทพีอะเธน่า ผู้เป็นหัวใจของชาวกรีก -- วัตถุ ที่เป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาอะโครโปลิส ที่การปกครองแบบประชาธิปไตยได้ถูกอุบัติขึ้น -- วัตถุ ที่ชาวกรีกหลายล้านคนกล่าวว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ สัญลักษณ์ของกรีซที่แท้จริง
วัตถุที่ว่า ก็คือ หินอ่อนแกะสลักจากวิหารพาเธนอน (Parthenon) ที่ถูกเปลี่ยนชื่อให้ดูเป็นอังกฤษชนว่า หินอ่อนเอลกิ้น (Elgin marbles) ตามอย่าง ลอร์ด เอลกิ้น หรือ ทอมัส บรูซ แห่งสก็อตแลนด์คนที่ 7 ขุนนางอังกฤษจอมจัดแจงการนำหินอ่อนมายังเกาะอังกฤษ
หินอ่อนบางส่วนจากวิหารพาเธนอน ปัจจุบันอยู่ในบริติช มิวเซียม กรุงลอนดอน
แต่หินอ่อนชิ้นนี้หลุดรอดออกมาจากกรุงอาเธนส์ได้อย่างไร ในเมื่อขณะนั้นยังตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันอันเคร่งครัด?
คงต้องของย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจักรวรรดิอิสลามเสียก่อน (ในที่นี้จะขอหมายถึงจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรวรรดิมุสลิมที่มีอำนาจ ประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณมากที่สุด) ซึ่งทั้งสองเป็นอริศัตรูกันตั้งแต่สมัยสงครามศาสนา จะมีพัฒนาการบ้างก็คือการเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองแบบ เอาเพื่อนอยู่ใกล้ตัว แต่เอาศัตรูอยู่ใกล้ใจ เมื่อฝรั่งเศสและเนเทอร์แลนด์เริ่มสร้างการค้ากับจักรวรรดิออตโตมันผู้ปิดเส้นทางการค้าเครื่องเทศและสินค้าผ้าไหมระหว่างยุโรปกับตะวันออก ซึ่งก็เล่นเอาอังกฤษผู้แปลกแยกและถูกกั้นกลางด้วยช่องแคบทางทะเลอยากจะติดต่อสัมพันธ์กับออตโตมันขึ้นมาบ้าง เพราะเบื่อสงครามทางทะเลที่ไม่จบไม่สิ้นกับสเปนเสียเหลือเกิน จนอยากจะหาเพื่อนมาเฟียมาไว้ประดับบารมี พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษเอง (ราว คริสตศตวรรษที่ 15-16) ก็อยากจะมีคอลเลคชั่นชุดนอนผ้าไหมใหม่ๆบ้าง (กล่าวกันว่าพระองค์มักจะนิยมการแต่งกายอย่างสุลต่านเมื่ออยู่ภายในพื้นที่ส่วนพระองค์) อังกฤษจึงได้เริ่มทำการ'ตีสนิท'กับสุลต่านของจักรวรรดิออตโตมัน เรื่อยมาจนกระทั่งยุคของพระบรมราชกุมารีอย่าง พระนางอลิซาเบธ
คงต้องของย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจักรวรรดิอิสลามเสียก่อน (ในที่นี้จะขอหมายถึงจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรวรรดิมุสลิมที่มีอำนาจ ประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณมากที่สุด) ซึ่งทั้งสองเป็นอริศัตรูกันตั้งแต่สมัยสงครามศาสนา จะมีพัฒนาการบ้างก็คือการเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองแบบ เอาเพื่อนอยู่ใกล้ตัว แต่เอาศัตรูอยู่ใกล้ใจ เมื่อฝรั่งเศสและเนเทอร์แลนด์เริ่มสร้างการค้ากับจักรวรรดิออตโตมันผู้ปิดเส้นทางการค้าเครื่องเทศและสินค้าผ้าไหมระหว่างยุโรปกับตะวันออก ซึ่งก็เล่นเอาอังกฤษผู้แปลกแยกและถูกกั้นกลางด้วยช่องแคบทางทะเลอยากจะติดต่อสัมพันธ์กับออตโตมันขึ้นมาบ้าง เพราะเบื่อสงครามทางทะเลที่ไม่จบไม่สิ้นกับสเปนเสียเหลือเกิน จนอยากจะหาเพื่อนมาเฟียมาไว้ประดับบารมี พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษเอง (ราว คริสตศตวรรษที่ 15-16) ก็อยากจะมีคอลเลคชั่นชุดนอนผ้าไหมใหม่ๆบ้าง (กล่าวกันว่าพระองค์มักจะนิยมการแต่งกายอย่างสุลต่านเมื่ออยู่ภายในพื้นที่ส่วนพระองค์) อังกฤษจึงได้เริ่มทำการ'ตีสนิท'กับสุลต่านของจักรวรรดิออตโตมัน เรื่อยมาจนกระทั่งยุคของพระบรมราชกุมารีอย่าง พระนางอลิซาเบธ
แม้ว่าการได้เป็น'เพื่อน'จะไม่มีผลทางการเมือง แต่สิ่งที่อังกฤษได้รับ คือรสนิยมและศิลปวัฒนธรรม
ปัญหาก็คือ ศิลปและวัฒนธรรมของจักรวรรดิออตโตมันนั้นใช่ว่าจะเป็นงานซุ้มประตูแบบโค้งมีมุมบัว งานตกแต่งด้วยหินโมเสคเสมอไปเสียเมื่อไหร่ เพราะว่าอาณาจักรออตโตมันนั้นใหญ่โตครอบคลุมไปถึงกรุงอาเธนส์ ซึ่งเป็นหัวใจของศิลปวัฒนธรรมแบบกรีกคลาสสิกและโรมัน(อย่างที่เราเห็นของเลียนแบบในปัจจุบันตามหมู่บ้าน ประเภท รูปปั้นวีนัส เทพเจ้าสีขาว หรืออาบอบนวดที่เน้นบุรุษเพศว่าเป็นดั่งเทพเจ้าโพเซดอนนั่นแหละ) จนถึงขั้นดัดแปลงวิหารพาเธนอนที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมอย่างกรีกคลาสสิค ให้กลายเป็นมัสยิดด้วยการเพิ่มหอมินาเร็ต(อันเป็นหัวใจแห่งสถาปัตยกรรมศาสนสถานอิสลาม)
ซากวิหารพาเธนอน ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นมัสยิดในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน
(ภาพจาก utexas.edu)
หลังจากที่ยื้อยุดกับกองทัพเวเนเชี่ยนและยึดครองพื้นที่แถบคืนได้ งานศิลปกรรมกรีกที่เห็นเป็นตัวเป็นตนโดยเฉพาะรูปปั้นเปลือยนั้นขัดต่อหลักศาสนาที่ว่ามีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิต จึงไม่มีความจำเป็นทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมต่อผู้มาปกครองใหม่อย่างมุสลิมออตโตมันที่ใช้รูปทรงเรขาคณิตในการออกแบบศิลปกรรม แต่กลับมีคุณค่ากับยุโรปเก่าอย่างนายพลโมโรสินี่ ผู้นำกองทัพเวเนเชี่ยนที่พยายามจะเลียนแบบโดเก้ผู้ครองนครเวนิซในการยึดเอาม้าสี่ตัวแห่งเซนต์มาร์คจากคอนสแตนติโนเปิล หรือกงศุลฝรั่งเศสประจำตุรกีอย่างคอมต์ เดอ ชัวเซย-กุฟฟิเย รวมถึงลอร์ด เอลกิ้น ผู้เป็นฑูตประจำประตูการค้า Sublime Porte แห่งกรุงคอนแสตนติโนเปิล(กรุงอิสตันบูลในตุรกีปัจจุบัน) ในปีค.ศ. 1799 ในขณะที่โมโรสินี่ใช้วิธีแบบทหาร คือพยายามเข้ายึดครองเพื่อจะได้ครอบครองวัตถุ เอลกิ้นกลับใช้อำนาจและเส้นสายทางการฑูตในระยะเวลา 2 ปีในหน้าที่ เพื่อการดำเนินการขอเอกสารนำหินสลักแห่งวิหารพาเธนอนมายังสหราชอาณาจักร หินอ่อนชิ้นแรกจากซากวิหารถูกเลื่อยลงในปี ค.ศ. 1801
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดมุ่งหมายของเอลกิ้นนั้นคืออะไร ระหว่างการนำศิลปวัตถุชั้นเลิศมาให้กับราชอาณาจักร เพื่อเป็นตัวอย่างทางการศึกษา ให้พ้นจากการถูกทิ้งร้างหรืออันตรายที่เกิดจากสภาพความไม่มั่นคงทางการเมืองบนพื้นดินอะโครโปลิซ หรือว่าการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้เอกสารขอสิทธิในหินอ่อนพาเธนอน การขนส่งหินอ่อนและเรือขนส่งที่ดันเจอกับพายุทำให้ล่มและต้องไปกู้วัตถุขึ้นมาจากทะเล หรือการหย่าร้างส่วนตัวที่ทำให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวและจำต้องขายศิลปวัตถุชิ้นนี้ให้กับรัฐแทน(ที่จะได้ไปตั้งอยู่ในบ้านของเขา) คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์นักประวัติศาสตร์ที่เกลียดเอลกิ้นอย่างเข้าใส้กล่าวว่าสหราชอาณาจักรนั้นต้องคืนหินอ่อนชิ้นนี้ให้กับกรีซในปัจจุบัน ซึ่งก็ดูจะได้รับการสนับสนุนในแง่ของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและศีลธรรมขั้นพื้นฐานของคนหมู่มาก โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อว่าบริติชมิวเซียมคือพิพิธภัณฑ์ของโจร ฮิทเช่นส์กล่าวว่าเอลกิ้นใช้อำนาจมิชอบในการไปนำหินอ่อนนี้ออกมาจากอะโครโปลิซ หรือกรีซในปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองอย่างเต็มตัวของจักรวรรดิออตโตมัน เอลกิ้นเป็นคนปลิ้นปล้อนที่หลอกลวงว่ามีเอกสารลงลายลักษณ์อักษรขอส่งออกหินอ่อนอย่างถูกกฏหมายจากราชการออตโตมัน แต่เมื่อต้องเข้าชี้แจงกับสภาในอังกฤษ 'เอกสาร(firman) ที่ว่ากลับหายไปเฉยๆ' ซึ่งสภาอังกฤษเองก็ไม่อยากจะซื้อ'เศษหิน'ในราคาที่เอลกิ้นคำนวนต้นทุนมา 64,440 ปอนด์ แต่กลับเสนอให้ 30,000 ปอนด์ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงเอกสารรับรองสิทธิในการครอบครองหินอ่อนนี้ที่เอลกิ้นไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ออตโตมันให้วิ่งเต้น และใช้อำนาจทางการฑูตเพื่อเดินเรื่องอีกด้วย
วิลเลียม เซนต์ แคลร์ กล่าวต่างออกไปในข้อเขียนในปี 2006 ว่าเอกสาร firman ที่ว่านั้นมีช่องโหว่ทางภาษาที่ถูกแปลไปแปลมา และเอกสารที่ว่าหายนั้นสุดท้ายแล้วเขาเป็นผู้ตามหามันเจอ (แต่ก็ไม่ทันที่จะใช้เป็นหลักฐาน เอ เสียแล้ว) เอกสารอนุญาตนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า 'อังกฤษไม่ได้ไปขโมยมา' แต่ได้นำหินอ่อนออกนอกจักรวรรดิอย่างถูกต้อง แต่การใช้อำนาจและเส้นสายทางการฑูตในขณะดำรงตำแหน่ง การติดสินบน(ซึ่งอาจไม่ใช่เสียทีเดียว แต่เป็น'สินน้ำใจ'ก็เป็นได้) ต่างหากที่ทำให้ประวัติของอังกฤษด่างพร้อย
บริติช มิวเซียมสร้างห้องโถงขนาดใหญ่เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงหินอ่อนพาเธนอนโดยเฉพาะ (ภาพจาก wikipedia.org)
สภาอังกฤษตัดสินใจซื้อหินอ่อนแห่งพาเธนอนในราคา 35,000 ปอนด์ แต่มันไม่ได้ครอบคลุมสิทธิที่แท้จริงแห่งการครอบครองตัวหินอ่อนเลย หินอ่อนพาเธนอนกลายเป็นวัตถุที่สร้างความอื้อฉาวและข้อโต้แย้งตั้งแต่การนำเข้าไม่จบสิ้นจนถึงปัจจุบันเมื่อกรีซเรียกร้องขอหินอ่อนคืน
อาเธนส์และพื้นที่ทั้งหมดของกรีซนั้นได้รับอิสรภาพจากสงครามประกาศอิสรภาพกับออตโตมันในปี ค.ศ. 1832 ซึ่งเอื้อต่อการเรียกร้องความเป็นธรรมที่เคยหล่นหายในสมัยอยู่ใต้จักรวรรดิออตโตมัน
นักการเมืองของกรีซสมัยใหม่ได้ใช้ 'การเรียกร้องหินอ่อนกลับประเทศ' เป็นตัวแรกคะแนนประชานิยม นักแสดงกรีกที่ผันตัวเป็นนักการเมืองอย่าง เมลินา แมคูโอรี่ ก่อตั้งมูลนิธิเรียกร้องหินอ่อนกลับคืนพาร์เธนอนและกล่าวว่ามันคือหัวใจของกรีซ ของต้นแบบประชาธิปไตย มันคือความเป็นกรีก นักการเมืองของอังกฤษอย่างโทนี่แบลร์ สัญญาก่อนได้รับการเลือกตั้งในยุค 90 ว่าจะส่งมอบมันให้กับกรีซ แต่เมื่อได้ขึ้นเป็นนายกกลับกล่าวว่าทิศทางของพรรคได้เปลี่ยนไปแล้ว กลุ่มที่นิยมสหราชอาณาจักรก็กล่าวว่าลอนดอนนั้นมีอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย และมีการดูแลหินอ่อนอย่างดีในบริติชมิวเซียม ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาให้กับผู้ที่สนใจอย่างแท้จริงโดยไม่คิดเงินและเข้าถึงง่ายกว่าอาเธนส์ ที่อยู่บนประเทศที่ไม่มั่นคงทางการเมือง มีการปกครองโดยเผด็จการทหาร( ค.ศ. 1967-74) มีสภาพล้มละลายทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งประชาคมยุโรป และมลพิษหมอก เนฟอส ที่มีสภาพกัดกร่อนทั้งสิ่งปลูกสร้างโบราณและเมืองในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน ลอนดอนก็กลายเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายในโลกปัจจุบันเช่นกัน เมื่อมีการระเบิดเกิดขึ้นในปี 2007
ประเด็นทางกฏหมายอย่างหนึ่งที่สนับสนุน 'การไม่ส่งคืน' ก็คือการออกพระราชบัญญัติ Act of Parliament: The British Museum Act (1963) หลังจากการซื้อหินอ่อนจากเอลกิ้นว่า จะตกเป็นสมบัติของสหราชอาณาจักรและไม่ส่งออกไปยังที่อื่น ซึ่งพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษมักอ้างกฏข้อนี้ว่าหากกระทำแล้วพิพิธภัณฑ์จะละเมิดกฏข้อนี้ทันที จึงไม่สามารถส่งคืนได้ (และหากพระราชบัญญติถูกแก้ไขได้ ก็อาจจะมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นคดีตัวอย่าง จนอังกฤษอาจจะหมดตัวเอาได้ง่ายๆ)
กรีซใหม่นั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้หินอ่อนกลับคืนไม่ใช่แค่เพียงจากอังกฤษ เมื่อหินอ่อนนั้นกระเด็นไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ปารีส, เยอรมัน และที่อื่นๆ เพียงแต่ลอนดอนคือผู้ที่ครอบครองจำนวนมากที่สุด มีการสร้างพิพิธภัณฑ์อะโครโปลิซขึ้นใหม่เพื่อโต้แย้งว่า บริติช มิวเซียม นั้นไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่ดีพร้อมอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว กรีซใหม่มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการทหารอีกต่อไป มีผู้เชี่ยวชาญในการหารือแก้ไขปัญหาหมอกพิษ ขอเพียงบริติช มิวเซียมและรัฐบาลอังกฤษให้ความร่วมมือส่งกลับคืน
แต่ประเด็นกฏหมายแบบ'หัวหมอ'ที่กรีซยังแก้ไม่ตกก็คือ ผู้ที่เรียกร้อง (เช่นนักการเมืองในกรีซที่ต้องการสร้างฐานคะแนนนิยม)มักจะอ้างว่า หินอ่อนพาเธนอน คือหัวใจของความเป็นกรีก และต้อง'ส่งคืนกลับประเทศแม่' (repatriation) แต่ 'ประเทศแม่' ที่ว่านั้นอยู่ที่ใดเล่า? เมื่อหินอ่อนถูกยกให้กับอังกฤษโดยผู้ปกครองออตโตมันที่มีสิทธิสมบูรณ์ทุกประการในการครอบครองทุกสิ่งบนผืนดินอาเธนส์ และ กรีซ ที่ถูกอ้างว่าเป็นบ้านเกิดของหินนี้นั้น เพิ่งจะได้รับสถานะความเป็นรัฐชาติก็เมื่อสงครามประกาศอิสรภาพกับออตโตมันสิ้นสุดลงในปี 1831 หลังจากที่สภาอังกฤษได้ถือครองหินอ่อนโดยสมบูรณ์จากการซื้อจากเอลกิ้นและออกพระราชบัญญัติในปี 1816 ไปตั้งนานแล้ว
'แล้วจะให้อังกฤษส่งกลับคืนที่ใด ในเมื่อที่อยู่ไม่ตรงกับที่จากมา?'
(ภาพหินอ่อนแกะสลักหัวม้า ปัจจุบันอยู่ในบริติช มิวเซียม)
อ้างอิง
Anne Penketh, 'Syriza's election victory in Greece - how Europe reacted', Guardian, 26 January 2015
*หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ถูกปรับเนื้อหาให้เข้ากับสื่อโดยอ้างอิงจากวิทยานิพนธ์ของผู้เขียน
Naj Phonghanyudh, Parthenon or Elgin? Imperialism and the acquisition of the Parthenon marbles, 2014 (ไม่ตีพิมพ์)
No comments:
Post a Comment