Thursday, 12 March 2015

Vendôme Column: เมื่อการโค่นทรัพย์สินของรัฐ เป็นความงดงามในการทำลาย

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวหนึ่งที่แตกกระแสความคิดเห็นทางศิลปะในเมืองไทยพอสมควร นั่นคือการตัดต้นไม้ใหญ่ที่อายุร่วมร้อยปีมาทำงานศิลปะ แน่นอนว่าจากการสังเกตกระแสความคิดเห็น คนส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการโค่นไม้ลงครั้งนี้เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงทัศนศิลป์เป็นหลัก ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยยกคำพูดของศิลปินใหญ่(ที่ไม่ใช่ผู้สร้างงาน) มาอ้างถึงการนำไม้มาทำเป็นผลงานศิลปะคล้ายกับจะเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ชิ้นนั้น มากกว่าที่จะนำเอามันไปสร้างบ้านตามที่เจ้าของพื้นที่ที่ปลูกต้นไม้นั้นตั้งใจไว้แต่แรก
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงอะไรสองสามอย่าง หนึ่ง คือวิธีการคิดแบบยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment) ที่อิมมานูเอล คานท์ นักคิดผู้ตั้งคำถามว่าอะไรคือการรู้แจ้ง(What is Enlightenment?) กล่าวว่า 'Sapere aude' หรือ 'จงกล้าที่จะตัดสินอะไรด้วยความเข้าใจของตัวเอง' ('Have courage to use your own understanding') ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้พยายามที่จะแยกความรู้ออกจากความเชื่อ ออกจากขนบและศาสนา การปลดแอกของสถานะของผู้หญิง และการสร้างความเห็นที่หลากหลายจากความเท่าเทียม (อันเป็นหัวใจแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มากระทบตัวข้าพเจ้าโดยตรง เมื่อมีคนที่เคยคิดว่าการตัดไม้มาทำงานเป็นสิ่งไม่สมควร แต่พอมีผู้กว้างขวางให้ความเห็นว่ามันเป็นศิลปะล้ำยุค(Avant garde) ของบ้านเรา ที่ศิลปินยอมเสียสละโดนชาวบ้านด่าในวันนี้ ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์งานศิลปะที่ดูสากลและร่วมสมัยมากกว่าการวาดภาพพระ ภาพวัดอย่างที่เราเห็นๆกัน -- แล้วคนก็พร้อมที่จะเชื่อวิสัยทัศน์นั้นโดยตัดสินจากอำนาจของผู้พูด

ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรจะจำแนกเสียก่อนว่า แนวความคิดของการสร้างสรรค์ผลงานโดยการยอมตัดไม้อายุร้อยปีนั้นเพื่ออะไร? เพราะโดยส่วนตัวการกล่าวว่าเพราะวัสดุอื่นนั้นจะทำได้ไม่สวยเป็นเนื้อเดียวกันเท่านั้นไม่ใช่คำตอบทางสุนทรียศาสตร์ที่ข้าพเจ้าต้องการหา แต่เป็นการให้เหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้วัสดุ และการกล่าวว่างานศิลปะชิ้นนี้มีความล้ำสมัย เน้นให้ฝรั่งดู เพื่อเป็นผลงานแบบมอเดิร์นนิสต์ที่เน้นความเรียบง่าย เน้นสาระของวัสดุ ไม่รุ่มรวยลายไร้สาระนั้น ก็ยังไม่ตอบคำถามของแนวความคิดที่ข้าพเจ้าต้องการทราบสักเท่าไหร่ เนื่องจากไม้ได้ถูกนำมาแปรสาระของมันด้วยการเจาะหรือเพิ่มทัศนธาตุที่ไม่ใช่แก่นแท้ของวัสดุจริงๆ

เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงสิ่งที่สอง นั่นคือการโค่นเสา วองโดม (Vendôme) ในจตุรัสกลางมหานครปารีส
เหตุที่คิดถึง ก็เพราะในการทำลายทรัพย์สินของรัฐในครั้งนี้ ไม่ได้ไร้เหตุผลอย่างที่ถูกตราหน้า(แบบ vandalism)ซะทีเดียว 

มันมีความหมายในขณะการทำลายอยู่มาก ที่ทำให้การโค่นเสา หรือทำลายลงนั้นกลายเป็นสิ่งจำเป็น

เสา วองโดม นั้นเดิมเป็นวิสัยทัศน์ของนโปเลียน โบนาปาร์ต  (Napoleon Bonaparte) จักรพรรดิองค์แรกของฝรั่งเศส เพื่อฉลองชัยชนะทางการทหารเหนือกองทัพจักวรรดิออสเตรียที่ออซแตร์ลิตซ์ (Austerlitz) มันถูกสร้างขึ้นในยุคจักรวรรดิที่สองของฝรั่งเศส คือในสมัยการปกครองของพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นหลานชายของนโปเลียน โบนาปาร์ต และสำหรับนโปเลียนรุ่นหลานนั้น  ก็มีแนวคิดแบบจักรวรรดินิยมพอๆกันกับท่านลุง โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือทิวแถวสถาปัตยกรรมในมหานครปารีสที่เป็นรูปแบบนีโอคลาสสิค (Neo-classic) เรียบหรู ดูดีไปทั่วทั้งเมือง ซึ่งเกิดจากการว่าจ้างบารอน จอร์จ โอสมานน์ (Baron Goerges Haussmann) ให้ทำการทุบทำลายและสร้างทัศนียภาพของเมืองขึ้นใหม่ ตัดถนนใหญ่แบบ กรองด์ บูเลอวาร์ด ที่ดูโอ่โถงสง่างาม (แต่แท้จริงก็เพื่อจุดมุ่งหมายทางการเคลื่อนพลของทหาร) และที่สำคัญก็คือการสร้างเสาวองโดม ขึ้นกลางจตุรัสวองโดม ซึ่งท่านหลานก็ได้มีการนำเอาแบบร่างของเสามาทำการปรับใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเสา ทราจัน (Trajan) ของกรุงโรม (ซึ่งก็ไม่พ้นชัยชนะของจักรวรรดินิยมอีกเช่นเคย) ด้วยการให้ท่านลุงใส่ชุดโทก้าแบบโรมัน ยืนเป็นสีทองอยู่บนยอดเสา ทั้งยังตัดถนน เดอ ลา เปซ์ (Rue de la Paix) ขึ้นเพื่อการสร้างจุดนำสายตาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ภาพถนน เดอ ลา เปซ์ และเสา วองโดม โดยจิตรกร Antoine Blanchard (นามแฝง) (ที่มา http://www.wikiart.org/en/antoine-blanchard/rue-de-la-paix-place-vendome-1)


ตั้งแต่ตำแหน่งที่ตั้งของเสา การก่อสร้าง ไปจนถึงการทำลาย คนปารีส(ไม่ว่าจะเพื่อการกระทำไหน)คำนวณทั้งหมดนี้ขึ้นจากสัญลักษณ์ หาใช่ความบังเอิญไม่ ทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเสา ซึ่งเกิดจากการโค่นพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อันเป็นผลพวงจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 และสร้างสัญลักษณ์ของจักรพรรดิขึ้นแทน จนถึงการโค่นเสาแห่งจักรวรรดินิยมลงด้วยประชาชนแนวคิดเอียงซ้ายและกลุ่มประชาคมแห่งปารีส (Commune de Paris) 

กลุ่มประชาคมแห่งปารีสขึ้นมามีอำนาจเพียงระยะเวลาสั้นๆ (18 มีนาคม ถึง 28 พฤษภาคม 1871) ระหว่างที่ฝรั่งเศสตกอยู่ภายใต้สงครามกับกลุ่มรัฐปรัสเซียแห่งเยอรมนี ทั้งผู้นำของเยอรมนีฝั่งเหนือก็เชื่อว่าการสงครามกับฝรั่งเศสจะทำให้ตนเองขยายอำนาจและเป็นปึกแผ่นกับรัฐเยอรมนีตอนใต้อย่าง บาวาเรีย (Bavaria) และรัฐบาลฝรั่งเศสแห่งจักรวรรดิที่ 2 เองก็เชื่อว่าการรบจะทำให้เกิดความสามัคคีในชาติ แต่กลุ่มประชาคมนั้นรับวิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ เนื่องจากมันนำมาซึ่งความอหังการ์บนความสูญเสีย ทั้งรวมถึงการลิดรอนสิทธิภายใต้การปกครองของนโปเลียนที่ 3 กลุ่มประชาคมจึงรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มหลังจากที่นโปเลียนที่ 3 พ่ายแพ้แก่การรบที่ซีดานและถูกบีบให้สละตำแหน่ง และยังต่อต้านรัฐบาลของ อดอล์ฟ เธียร์ส (Adolphe Thiers) รัฐบุรุษผู้เคยต่อต้านจักรวรรดินิยมแต่กลับน่าสงสัยในการสร้างผลประโยชน์ให้กับรอยัลลิสต์และปราบกลุ่มประชาคมจนเสียชีวิตเป็นหลักพัน 

สำหรับกลุ่มประชาคมแล้ว นอกจากสถาปัตยกรรมที่'เป็นระเบียบเหมือนกันไปหมด' ของโอสมานน์แล้ว เสาวองโดมเป็นเพียงอีกหนึ่งสัญลักษณ์การเถลิงอำนาจจักรวรรดินิยม การทหาร และวิถีแห่งโบนาปาร์ต กลุ่มประชาคมนั้นประกอบด้วยนักคิดโดยเฉพาะจิตรกรชื่อก้องโลกอย่าง กุสตาร์ฟ กูร์แบรต์ (Gustave Courbet) และนักประพันธ์การละครอย่าง เฟลิกซ์ ปิยาต์ (Félix Pyat) ซึ่งได้ร่วมประชุมวางแผนการโค่นภาพลักษณ์แห่งอำนาจนี้ลงในกลางดึกในคืนวันที่ 16 พฤษภาคม 1871

จุดที่เป็นประเด็นสำคัญในการโค่นลงครั้งนี้ ก็คือการไตร่ตรองถึงผลกระทบที่จะมีต่อชุมชนรอบๆก่อนการลงมือ ด้วยการสร้างกองฟูกเนินดินจากการทับถมของฟางและเศษหญ้าที่เย็บเป็นแผง เชื่อมเข้าด้วยกันกับมูลสัตว์จากคอกม้าในปารีส โดยกลุ่มประชาคมได้สั่งให้วิศวกร 3 คน ได้แก่  จูลส์ อิริบ, อิสมาเอ็ล อาบีด และ จอร์จส กาวาลิเยร์ (Jules Iribe, Ismaël Abide,  Georges Cavalier) เป็นผู้คำนวณออกแบบวิธีการลดแรงสั่นสะเทือนจากการล้มลงของเสา เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อกระจกและหน้าต่างของบ้านเรือนที่ตั้งอยู่รอบๆ ลดแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นกับระบบระบายน้ำใต้ดินของปารีส และลดแรงแตกหักที่จะเกิดขึ้นกับพื้นจตุรัส บทความในหนังสือพิมพ์ เดอะ เมอคิวรี่ (The Mercury) ของออสเตรเลียที่ตีพิมพ์ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1871 กล่าวถึงบทสนทนาของผู้ไม่ประสงค์ออกนามว่า เหตุที่เสาวองโดมไม่ควรถูกล้มนั้นเพราะมันถูกสร้างขึ้นด้วยทุนอย่างมหาศาล เพราะสิ่งที่เราต้องเสียไปอย่างมหาศาลเพื่อแลกมันมานั้นคือ 'ชีวิตของมนุษย์หลายล้านคนบนผืนดินของเยอรมนีและในกองหิมะของรัสเซีย' 

ภาพเสาวองโดม หลังการถูกโค่นลง (ที่มา http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Vendome_column_destruction_1871.jpg)

ภายหลังการโค่นเสาวองโดมลง ผู้นำรัฐบาลแห่งชาติ พาทริซ แม็คมาน (Patrice Macmahon) ภายใต้สังกัดของ อดอล์ฟ เธียร์ส ได้เข้าปราบปรามกลุ่มประชาคมและดำเนินคดีกับผู้นำกลุ่มอย่างกุสตาฟ กูรแบรต์ โดยกล่าวกันว่าในการไต่สวน กูรแบรต์(กลับ)ให้การว่า เหตุผลที่เขาต้องการโค่นเสาลงนั้นไม่ได้มีนัยยะทางการเมืองใดๆ แต่เป็นไปด้วยความไม่เหมาะสมทางสุนทรียศาสตร์และความงามในเชิงการออกแบบต่างหาก อย่างไรก็ดีเขาถูกปรับค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหลักพันฟรังก์ ซึ่งไม่รวมค่าดำเนินการทางกฏหมาย จำคุก 6 เดือน ลี้ภัยไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ และแทบไม่ได้กลับมาเขียนรูปอีก ในขณะที่ผู้นำประชาคมบางคนถูกแขวนคอ

การกระทำของกลุ่มประชาคมปารีส (หรือแม้กระทั่งกลุ่มองค์กรใต้ดินอย่าง Résistance ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) นั้นได้ชื่อว่าอุกอาจ รุนแรง และบ้าระห่ำอยู่แล้ว เนื่องจากว่ามันเป็นกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลหลัก แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆคือข้อสังเกตที่ว่า หากมันเป็นการโค่นล้มแบบป่าเถื่อน ที่ถูกกระทำขึ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ด้วยแรงยุของสถานการณ์ การคำนวณเพื่อรักษาบริบทแวดล้อมเหล่านี้จะถูกคิดขึ้นก่อนหรือไม่? การทำลายแบบจงใจให้อับอาย (humiliation) กับการกระทำเพื่อเป็นไปทางสัญลักษณ์โดยอ้างอิงและให้ความสำคัญกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่อาจไม่เห็นด้วยกับตนหรือไม่เกี่ยวข้องด้วยโดยใช้วิธีการโค่นล้มทำลายนั้นแตกต่างกันมากในเรื่องของความรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวม สิ่งที่ทำให้การโค่นทำลาย'ทรัพย์สินของรัฐ' ครั้งนี้มิใช่เป็นเพียงการกระทำแบบป่าเถื่อน ไร้อารยะ ก็เพราะการโค่นลงนั้นเป็นสัญลักษ์ของการ'โค่นอำนาจ'(จักรวรรดินิยม) และการกระทำอื่นก็คงไม่สื่อและสร้างสัญญะได้เท่าการโค่นมันลงมาจริงๆ ทั้งยังลงมาสู่พื้นดินและเศษมูลที่ก่อเป็นฟูกอีกด้วย เรียกว่าเป็นการ สูงสุดคืนสู่กองดินและมูลสัตว์สามัญอย่างแท้จริง 

กล่าวกันว่า หลังจากการจัดระเบียบสังคมของแม็คมานน์ หลังจากเสาวองโดมถูกสร้างขึ้นใหม่ ในช่วงปี 1873 นั้นมีอีกหลายกลุ่มที่พยายามจะโค่นเสาลงเช่นกันแต่ก็ไม่สำเร็จ
ในปี 2012 นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม เดวิด กิสเซ็น (David Gissen) ได้รวมกลุ่มยื่นคำร้องขอให้ทางเทศบาลเมืองปารีสจัดการรำลึกถึงวิธีการสร้างฟูกรองเสาวองโดมของกลุ่มประชาคมปารีสด้วยการสร้างมันขึ้นมาใหม่ โดยให้เหตุผลว่า 'มันเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ [ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมือง] และเป็นสัญลักษณ์ของความใส่ใจของกลุ่มประชาคมที่มีต่อผังเมือง การดูแลรักษาและอนาคตของเมือง'

ซึ่งเป็นความงามที่ซ่อนอยู่ในความจริงและการโค่นทำลาย







อ้างอิงข้อมูลและได้รับแรงบันดาลใจจาก

David Gissen, 'The Mound of the Vendôme', Canadian Centre for Architecture, https://www.academia.edu/8195508/The_Mound_of_Vendôme_Canadian_Centre_for_Architecture_
David Gissen, 'Project: The Mound of the Vendôme' [petition], http://davidgissen.org/Project-The-Mound-of-Vendome
Roland Benedikter, The Enlightenment
Anon., The Mercury, Monday 31 July 1871, Tasmania, Australia http://trove.nla.gov.au/ndp/del/article/8867813 

No comments:

Post a Comment