Monday, 19 January 2015

คำถามถึงฮีโร่แห่งศิลปะในสงครามโลกครั้งที่ 2 : The Monuments Men กองทัพฉกขุมทรัพย์โลกสะท้าน กับเหยื่อสงครามอย่างงานศิลป์

เมื่อไม่นานมานี้ เคเบิลทีวีที่ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกอยู่ได้นำเอาภาพยนตร์เรื่อง The Monuments Men กลับมาฉายใหม่ ข้าพเจ้าจำได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราไม่นานนักเมื่อเทียบกับภาพยนตร์เน้นความบันเทิงเรื่องอื่นๆ -- ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเมื่ออ้างอิงกับความจริงที่ว่า งานศิลปะหลายๆชิ้นเองที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้น ไม่ได้เป็นที่รู้จัก(ในบ้านเรา)เท่ากับภาพโมนาลิซ่า ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ หรือรูปปั้นเดวิด ที่เรามักนำมาล้อเลียนเพราะว่ามันเปิดเผยเครื่องเพศอย่างแจ่มชัด
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปดู'หนัง'เรื่องนี้ในปารีสรอบฉายนั้นค่อนข้างจะเต็มเลยทีเดียว และที่แอบรู้สึกขำและโยงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คงจะเป็นตอนจบที่ขึ้นเครดิตนักแสดงเลือดฝรั่งเศส   ฌอง ดูจาร์แดง แล้วบรรดาคนฝรั่งเศสกลับตบมือบราโวกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งที่ความเป็นจริงตัวละครที่ดูจาร์แดงแสดงนั้น เป็นตัวละครสมมติที่ไม่ได้มีอยู่ในกลุ่ม 'กองทัพฉกขุมทรัพย์' นี้จริงๆเสียหน่อย ในขณะที่โลกต้องการฮีโร่ และอเมริกาเองก็พยายามผลิตภาพของฮีโร่มาตลอด จากทั้งหนังยอดมนุษย์ตระกูลมาร์เวลล์ ไปจนถึงหนังเรื่อง อาร์โก้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่แสดงภาพของอเมริกากับการเป็นฮีโร่ท่ามกลางบรรยากาศความน่ากลัวของกรุงเตหะราน(ตะวันออกกลาง) จนมาถึงการลุกขึ้นมาเป็นฮีโร่โดยต่อต้านผู้ร้ายตลอดกาลอย่างฮิตเลอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของอเมริกา (อย่าลืมว่าในอเมริกาก็ประกอบไปด้วยชาวยิวผู้ถือเงินจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว) เพียงแต่เป็น'เหล้าใหม่'ในขวดเก่าเมื่อเอาบริบทของงานศิลปะมาเกี่ยวข้องกับการเป็นอเมริกันฮีโร่ 

(ภาพจาก atwar.blogs.nytimes.com)

เมื่อมีหนังฮีโร่ในวงการศิลปะอย่างกองทัพกู้ศิลป์ชุดนี้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าเองก็ตื่นเต้นและ 'อิน' ไม่ใช่น้อย... ทั้งที่ การขโมยงานศิลป์ มันมีมานานก่อนฮิตเลอร์จะลอกเลียนวิธีการของนโปเลียนด้วยซ้ำ ตัวอย่างของการปล้นสะดมงานศิลป์ที่โด่งดัง เช่น รูปปั้นหล่อบรอนซ์ม้าสี่ตัวแห่งเซนต์มาร์ค (Horses of San Marco) ที่นโปเลียนไปเอามาเวนิซ ซึ่งโดเก้ผู้ปกครองเวนิซก็ไปเอามาจากคอนสแตนติโนเปิล ที่พระเจ้าคอนสแตนตินไปเอามาจากกรีซอีกที หรือแม้กระทั่งวัตถุโบราณบางชิ้นในพิพิธภัณฑ์บริติช มิวเซียม ที่'การนำเข้า' ถูกทำให้ถูกกฏหมายด้วยการอ้างความชอบธรรมในการครอบครองพื้นที่ (Rights of Conquest) ทั้งที่'ผู้นำเข้า'เองอาจจะได้มาจากความเชืิ่อถือในตัวผู้ค้า (good faith) การติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อทำเอกสารอย่างถูกต้อง(กรณีรูปปั้นหินอ่อนแห่งพาร์เธนอนในบริติช มิวเซียม) และการอ้างความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อเข้าแทรกแทรงและนำวัตถุมาครอบครองเพื่อรักษา 

ตัวอย่างที่กล่าวถึงก็เพื่อจะไปสู่ประเด็นหลัก(จริงๆ) ที่ว่า เรามักให้ความสนใจกับ 'เรื่องอื้อฉาว' ที่ว่าใครขโมยของใคร ใครซื้อของโจร ใครเป็นฮีโร่ แต่เรากลับลืมไปว่า 'ของ' ที่ถูกโยกย้ายเป็นว่าเล่นนั้นจะบอบช้ำแค่ไหน เมสัน แฮมมอนด์เขียนบทความ The War and Art Treasures in Germany ขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี ค.ศ. 1946 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลงานศิลปะที่กองทัพอเมริกันได้อาสาไปกู้ออกมาจากเยอรมนีที่แตกร้าวลงหลังสงคราม หลายๆเมืองในเยอรมนีผู้เคยเป็นศูนย์กลางแห่งยุโรปนั้นก็บอบช้ำไม่แพ้กันจากการทิ้งระเบิด หมู่บ้านประวัติศาสตร์และอนุเสาวรีย์เองก็แทบไม่เหลือซาก แฮมมอนด์ยกตัวอย่าง บ้านโบราณในเมืองลือเบคค์ (Lübeck) ที่เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบโกธิกโดยการก่ออิฐ หรือหน้าต่างทั้งหมดของโบสถ์ในเมืองมักเดบวกร์ ที่เป็นโบสถ์โกธิกที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมนี รวมทั้งบางส่วนของโบสถ์ที่ถูกระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรทำลาย บ้านของกวีเกอเธ่ที่'เหลือเพียงก้อนหินวางทับกัน' จากตัวอย่างเหล่านี้บางคนอาจกล่าวว่า สถาปัตยกรรมที่ถูกทำลายนั้นก็เป็นผลพวงของสงครามที่ต้องทำใจยอมรับ ภาพของเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันและการร่วมมือของอังกฤษในการกู้งานศิลปะกลับคืนมาจากแผนการสร้างพิพิธภัณฑ์ลินซ์ในบ้านเกิดของฮิตเลอร์เองนั้นกลับถูกประโคมเสียยิ่งกว่าสภาพหลังการทิ้งระเบิดในเยอรมนี 


ภาพทหารอเมริกันกำลังสำรวจสภาพรูปปั้นสิงโตที่หล่นหักจากแรงระเบิดในมิวนิค ที่ประตูเมือง Siegestor (ภาพจาก munichFOTO/ theMunicheye.com)

โบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์เมืองนูเรมแบร์กและมิวนิค ถูกนำมาเก็บรักษาในสถานที่ๆปลอดภัย พระราชวังนอยชวานชไตน์ และฮาเร็นเคียมซีของพระเจ้าลุดวิคที่สองกลายเป็นโกดังเก็บงานศิลปะชั่วคราวโดยการขนย้ายของเจ้าหน้าที่ทางวัฒนธรรมของเยอรมนี รวมทั้งในเหมืองเกลืออย่างที่ปรากฏในหนังก็กลายเป็นโกดังงานศิลป์ ที่บรรดานายทหารสัมพันธมิตรกล่าวในหนังว่าหากฮิตเลอร์แพ้ เขาจะสั่งระเบิดเหมืองทิ้ง คล้ายกับจะบอกว่า 'ข้าไม่ได้ เอ็งก็ต้องไม่ได้ด้วย' ดังนั้นความชอบธรรมจึงถูกสร้างขึ้นในการเข้าปฏิบัติการกอบกู้งานศิลป์ให้พ้นจากเงื้อมมือนาซี

แต่สภาพของงานล่ะ?

อันที่จริงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้น กองทัพเยอรมนีมีหน่วยงานที่ดูแลการเก็บรักษางานศิลปะที่เกิดจากสิทธิในการยึดครองในระหว่างสงครามอยู่แล้ว เรียกว่าหน่วย กุนสชุตส (Kunstchutz)  โดยไม่เกี่ยวข้องกับความอยากส่วนตัวของฮิตเลอร์และกลุ่มนายทหารที่ต้องการปล้นงานศิลป์และสมบัติโดยชอบธรรมของชาวยิวมาครอบครองโดยใช้ชื่อหน่วยงานว่า ไอนสัตชตาร์บ โรเซ็นแบร์ก ( Einsatzstab Rosenberg ตามอย่าง อัลเฟร็ด โรแซนแบร์ก ผู้นำทางความคิดเกี่ยวกับเชื้อชาติ การสังหารชาวยิว และแนวทางต่างๆของพรรคนาซี รวมถึงนิทรรศการ 'งานศิลป์เสื่อม' หรือ Degenerate art ตามประสงค์ของฮิตเลอร์ )

ภาพกองกำลัง โรเซนแบร์ก กับกล่องบรรจุวัตถุโบราณและงานศิลปะ (ภาพจาก jmberlin.de)

เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ว่านายทหารเยอรมันหลายๆคน ได้หอบเอางานศิลป์บางส่วนหลบหนีเข้าป่าไปตั้งแต่ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงกรอกปากตัวเองไปตั้งนานแล้ว ยังไม่รวมถึงความเข้าใจผิดในการเข้าปฏิบัติการขนย้ายเนื่องจากว่า วัตถุโบราณและงานต่างๆนั้นถูกบรรจุลงกล่องและเขียนหมายเลขกำกับ มันจึงยากมากที่จะทำการรวบรวม(จากหลายโกดังเฉพาะกิจและการตามตัวคนขนไม่ได้) เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ หรือถูกปิดปาก การจัดการที่ทำให้งานศิลป์บางส่วนถูกทำลายโดยบังเอิญ และการแทรกแซงของผู้ที่มีเจตนาปล้นสะดมจริงๆทำให้งานศิลปะหลายๆชิ้นตกหล่นระหว่างทาง แต่ในขณะเดียวกันแฮมมอนด์กลับให้เหตุผลว่า สภาพของเหมืองเกลือนั้นแท้จริงกลับมีคุณต่องานศิลปะเนื่องจากว่ามันแห้ง จึงสามารถป้องกันความชื้นที่อาจทำลายงานศิลปะได้ระยะหนึ่งเลยทีเดียว (การจัดการความชื้นนั้นเป็นวิธีพิสูจน์พิพิธภัณฑ์งานศิลปะที่ดีอย่างหนึ่ง) ดังนั้นการที่จะทิ้งมันไว้ในเหมือง(จนทำให้หนังเอาไปเป็นส่วนหนึ่งของพล็อต)ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการต้องขนย้ายไปมาหลังสงคราม แผงตกแต่งโต๊ะบูชาสไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างแผงไฟต์ ชตอสส์ (Veit Stoss altarpiece) ที่เยอรมันไปเอามาจากโปแลนด์ และบางส่วนจากพระคลังแห่งเวียนนาที่กองทัพนาซีไปยึดครองมานั้นเป็นเพียงบางส่วนที่ได้รับการกู้กลับมาโดย 'การสืบสวนอันชาญฉลาดของกลุ่ม มอนูเมนต์ แห่งอเมริกา' ดังนั้น 'ขุมทรัพย์'ต่างๆ (ของฮังการี ปรัสเซีย และออสเตรีย) ที่กลุ่มนี้ได้ไปพบเข้า จึงตกอยู่ในความดูแลของสหรัฐไปโดยชอบธรรมรวมถึงส่วนมากที่อยู่ในเบอร์ลินอีกด้วย มาถึงตรงจุดนี้ดูเหมือนว่าที่ในหนังพูดไว้จะไม่ค่อยผิดเพี้ยนนักเมื่อความสำเร็จของการกู้ศิลป์มาจากพวกนาซีนั้นโดยหลักๆแล้วเป็นความร่วมมือของบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลป์ นักโบราณคดีและสถาปนิกของอเมริกาและอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยนอกเหนือจากการค้นพบงานศิลป์ที่ถูกซ่อนตามเหมือง คือการศึกษาแผนที่เพื่อขอความร่วมมือกับกองทัพไม่ให้ตั้งฐานหรือเข้าปฏิบัติการในบริเวณที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้  

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่องานศิลปะหลายชิ้นตกอยู่ในความดูแลของกลุ่มสัมพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ การพิสูจน์ความถูกต้องในการครอบครองจึงเกิดขึ้น แฮมมอนด์ยกตัวอย่าง งานศิลปะในคอลเลคชั่นของไคเซอร์ ฟรีดริช ที่อยู่ในกรุงเบอร์ลินนั้นถูกย้ายไปมาจากที่เก็บในแฟรงเฟิร์ต ไปยัง เมืองวิสบาเด็น ในระหว่างการตรวจสอบความชอบธรรมของผู้เป็นเจ้าของ และการรักษาไว้ซึ่งวัตถุเลอค่าเหล่านี้ 'ตามกฏหมาย'แล้ว อเมริกามีฐานะเป็น ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษา (trustees) จนกว่าเยอรมนีจะสามารถตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ แต่คำว่า 'รักษา' (preservation) นี้เองที่อาจจะต้องนำมาทำความเข้าใจกันใหม่ ซึ่งมันอาจหมายถึง รักษาให้พ้นจากการถูกทำลายทางกายภาพ เช่น ความชื้น รอยชำรุดจากการขนย้าย หรือการขนย้ายไม่ถูกวิธี หรือ ตกอยู่ในการครอบครองของผู้ไม่เหมาะสม(คล้ายกับกรณีของรัฐบาลอังกฤษ ในการรักษาหินโรเซตต้าแห่งอียิปต์โดยอ้างความไม่มั่นคงของสภาพแวดล้อม)  ตรงนี้เองที่การเป็นฮีโร่โดยชอบธรรมทางกฏหมายในการกู้งานศิลป์ของเหล่านักวิชาการผู้รักศิลปะถูกตั้งคำถามว่า มันคุ้มกันหรือเปล่ากับการต้องขนย้ายไปเก็บจนกว่า ผลทางคดีจะถูกต้องและชิ้นงานถูกส่งถึงมือผู้ครอบครองโดยชอบธรรมจริงๆ?  ความถูกต้องในเชิงผู้ควรครอบครอง กับความคุ้มค่าในการดูแลทางกายภาพของชิ้นงาน ขัดแย้งกันหรือไม่? ย้อนกลับไปเบื้องต้นที่ว่าสถานที่เดิมที่เคยเป็นที่เก็บรักษางานเหล่านี้ เช่น ท้องพระคลัง และพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั้งในเยอรมนีและ'ประเทศแม่'ของผลงานนั้นกลายเป็นซากจากสงครามที่ต้องใช้เวลาซ่อมแซม และงานศิลปะมูลค่าสูงนั้นจะปลอดภัยจากการดักปล้นหรือการยักยอกได้อย่างไร? และต่อให้มีระบบการคุ้มครองความปลอดภัยจากการปล้น สภาพเป็นร้อยปีของวัตถุนั้นสมควรแก่การพาเดินทางไปมาหรือไม่? ในบางกรณีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกนั้นอ้างการขนส่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชิ้นงานเป็นเหตุผลที่ไม่ส่งวัตถุกลับคืนประเทศแม่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในเชิงกายภาพ ในขณะที่หากไม่มีผู้ครอบครองที่เหมาะสม วัตถุนั้นจะตกอยู่ในความดูแลของใคร? 
หนังนั้นจบตรงที่หนึ่งในตัวแทนกลุ่มมอนูเมนต์ เมน ได้มีโอกาสกลับไปดูรูปปั้นพระแม่มารี ที่เมืองบรูจจ์ในเบลเยี่ยมพร้อมกับหลานชาย คล้ายกับเป็นการขมวดปมที่ว่า อเมริกาได้เป็นฮีโร่ทางอารยธรรมให้กับลูกหลานของเราอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันปมที่แฮมมอนด์ได้ทิ้งไว้กลับกลายเป็น ความชอบธรรมของอเมริกาในฐานะ'ผู้จัดการทรัพย์สิน' ในเมื่อเยอรมนีเองก็อ้าง'ความเหมาะสม'ในการเก็บรักษางานศิลป์ในเชิงกายภาพ การประเมินผลประโยชน์สูงสุดของเหยื่อสงครามซึ่งในที่นี้ก็คืองานศิลปะและวัตถุโบราณ แล้วจะต่างอะไรเล่ากับบทบาทที่อเมริกาทำในการไปเอามาถือไว้จนกว่าจะหาผู้ครอบครองที่เหมาะสมได้? ยังไม่รวมถึงความแคลงใจในเชิงศีลธรรมกับอเมริกาที่เป็นผู้ถือบทบาทตำรวจโลกมาช้านานและ 'มาตรฐาน' ในการตัดสินและเสาะหาผู้ดูแลงานศิลป์ที่เหมาะสมที่สุด เหล่านี้เป็นคำถามที่อเมริกาอาจจะต้องตอบให้ได้กับบทบาทการเป็น 'ฮีโร่' ที่แท้จริงของโลกเสรีนิยม

(ได้รับแรงบันดาลใจและอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความ The War and Art Treasures in Germany 
Mason Hammond, The War and Art Treasures in Germany, College Art Journal, Vol. 5 No. 3 (March, 1946), pp. 205-218)







No comments:

Post a Comment