'สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคำถามที่ว่า ในวัฒนธรรมของเรานั้นมองเรื่องของความแก่ชราอย่างไร ซึ่งคำตอบก็คือ ความแก่ชรามันคือความน่าเกลียด ดูอย่างงานภาพถ่ายของแมปเปิลธอร์ป (Robert Mapplethorpe)เป็นตัวอย่างเถอะ เรียกว่าทุกภาพของเขามันเป็นเรื่องความงามแบบคลาสสิกล้วนๆ เป็นคนดำที่อายุยังน้อย เนื้อแน่น หญิงรักร่วมเพศที่อ่อนเยาว์และสะสวย การที่แมปเปิลธอร์ปจะเลือกใครมาเป็นแบบมันก็แค่ดูว่าใครน่าสนใจ หน้าตาดี และโคตรจะแข็งแรงกระฉับกระเฉง ผมทนอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก เห็นแล้วมันเสียวฟันว่ะ ก็ผมรู้สึกว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ยังมีร่างกาย ผมอายุเจ็ดสิบ แล้วคนอายุเจ็ดสิบน่ะ ตามธรรมชาติมันต้องมีรูปสังขารอย่างผมนี่ ซึ่งแม่งก็ไม่มีถ้าผมต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมของเรา ผมก็ไม่ต่างอะไรจากไอ้แก่ที่ไร้ลมหายใจ ผมก็เลยเอาร่างกายของผมนี่แหละมาเป็นสื่อ เพื่อบอกว่า ถึงผมจะอายุเจ็ดสิบก็เหอะ ผมก็ทำให้มันมีลูกเล่นเก๋าๆได้นะ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตายและทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีกำลังวังชาอยู่ มันคล้ายๆกับเป็นการกระตุ้นตัวผมเองด้วยความเชื่อที่ว่า ขนบทางศิลปะคลาสสิกที่เราสืบทอดกันมาจากสมัยกรีกโรมัน แม่งไร้สาระสิ้นดี'
คำพูดที่ถูกยกขึ้นมาจั่วหัวบทความชิ้นนี้เป็นคำพูดของ จอห์น โคปแลน ผู้ผันตัวเองมาเป็นศิลปินหลังจากคร่ำหวอดอยู่ในวงการศิลปะทั้งในฐานะนักเรียน นักค้างานศิลป์ เป็นกองบรรณาธิการนิตยสารศิลปะ และผู้สอนเองแล้ว จอห์นเคยเรียนจิตรกรรม แต่สำหรับเขามันไม่ใช่อาวุธที่เขาถนัดในการฟาดฟันกับศิลปินคนอื่นๆ กว่าจะลืมตาอ้าปากในฐานะจิตรกรได้ เขาอาจจะตายเสียก่อน การถ่ายภาพจึงกลายเป็นการถ่ายทอดสาระของเขา
จะว่าไปนับตั้งแต่สมัยโบราณ เรือนร่างที่จะเข้าไปอยู่หรือถูกจารึกในส่วนของงานศิลปกรรมได้ก็ต้องสวยเป็นอมตะ(แต่จะสวยยังไงก็ขึ้นอยู่กับคตินิยมในสมัยนั้นๆด้วย) และก็ต้องดูแข็งแกร่งกันตลอดเวลา เรียกว่าอาชีพหลักนั้นคือดูแลเรือนร่างกันอย่างเดียว ถ้าเป็นสมัยกรีกโรมันก็อาจจะเล่นขว้างจักรขว้างจานกันตลอดเวลา รูปปั้นและงานจิตรกรรมที่เป็นรูปของรัฐบุรุษนั้นก็เรียกว่าต้องใส่ลักษณะบุรุษในอุดมคติ (อย่างเช่นในทางพุทธเราก็จะมีมหาบุรุษลักษณะ เช่น นิ้วยาวเรียว ผิวสีทองเนื้อละเอียด คางโค้งเหมือนพระจันทร์ เป็นต้น) ดังนั้นหากรูปเสมือนเหล่านี้จะถูกดัดแปลงสัดส่วนผิดเพี้ยนไปจากเรื่องจริงทางกายภาพก็เป็นเรื่องที่ทำกัน ในเมื่อ(สมัยนั้น)การจะดัดแปลงร่างกายจริงๆอาจจะยากกว่า(ดูอย่างการรัดเท้าดอกบัวของคนจีนสมัยก่อน หรือแม้กระทั่งในนิทานเก่าๆที่ผู้เขียนเคยอ่าน มันก็มี 'เหล็กดัดรูปปากให้เป็นกระจับทั้งบนและล่าง'อยู่หรอก) ทั้งหมดนี้มันเดินสวนทางกับความเป็นจริงของร่างกายเรา อย่าว่าแต่ในทางพุทธเลย การฝืนธรรมชาติมันก็เป็นหลักของการยื้อยึดอยู่กับเรื่องโกหกอยู่แล้ว ประเด็นที่พูดถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นถูกเมินเฉยมาตั้งแต่โบราณ ทางหนึ่งที่ศิลปะสมัยใหม่จะปฏิวัติตัวเองจากศิลปะของโลกกเก่าก็คือการละทิ้งประเด็น กรอบ ขนบเดิมๆให้ได้
การนำเสนอ'ความเป็นจริงที่น่ารังเกียจ'อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง นักปฏิบัติงานศิลปะสมัยใหม่อาจจะเอียนกับภาพวิจิตรของหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนตอนอายุสามสิบทั้งที่เธออายุหกสิบ ยิ้มแย้มและว่างเปล่ามาตลอดชีวิต ดังนั้น การที่คนอย่างจอห์นเลือกที่จะโจมตีภาพถ่ายของแมปเปิลธอร์ป มันก็เป็นสิ่งที่มีตรรกะอยู่ ก็ในเมื่อทั้งสองอยู่ในศตวรรษเดียวกัน และเลือกทำภาพถ่ายเปลือยของเรือนร่างเหมือนกัน เพียงแต่คนหนุ่มก็ติดอยู่กับความงามโลกเก่า คนแก่ก็อยากจะเดินหน้าปฏิวัติความงามในศิลปะของโลกใหม่ และถึงแม้ว่างานของแมพเปิลธอร์ปจะเลือกคนผิวสีมาเปิดเผยอวัยวะเพศและแนวความคิดเกี่ยวกับการรักร่วมเพศมาสร้างสรรในอเมริกาในยุค 1970-1980 (สมัยที่โรคเอดส์ยังถูกมองว่าเป็น'กรรมตามสนอง'ของชาวรักร่วมเพศ) และนำเสนอในช่วงปี 1990 ที่เป็นช่วงสงครามทางวัฒนธรรม( Culture war) เขาก็ยังคงกีดกันความเท่าเทียมระหว่างคนอ่อนเยาว์กับคนแก่ชรา คนสมบูรณ์แบบกับคนพิกลพิการ และต่อให้เขานำเสนอเรือนร่างปุกปุยแตกต่างจากเรือนร่างไร้ขนของกรีกโรมันมันก็น่าจะเป็นเพราะ'ขน'เป็นสิ่งปลุกเร้าทางเพศและแสดงถึงวัยเจริญพันธุ์ต่างหาก
พาโบล ปิกาซโซ เคยกล่าวว่า 'ความงามของ[วิหาร]พาร์เธนอน, วีนัสทั้งหลาย, นางไม้ และบรรดานาซิสซัสผู้หลงตัวเอง[ Narcissus] นั้นเต็มไปด้วยความหลอกลวง... ศิลปะนั้นไม่ใช่การการนำหลักการทางศิลปะมาใช้ดื้อๆ แต่เป็นการใช้สัญชาตญาณและสมองในการสร้างสรรค์เหนือหลักการใดๆต่างหาก' การเริ่มต้นยอมรับความจริงทางกายสภาพของมนุษย์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นปรากฏขึ้นเด่นชัดในยุคกลางด้วยปรัชญา เมเมนโต โมริ (Memento Mori) เตือนให้มนุษย์ระลึกถึงภาวะเหล่านี้ด้วยการสร้างสัญลักษณ์จากโครงกระดูกและหัวกระโหลก ลงบนภาพเขียน นับเป็นหนึ่งในปรัชญาแรกๆที่ว่าด้วยการเสื่อมสลายของร่างกายมนุษย์ที่เราต่างหนีไม่พ้น แต่กระนั้นมันก็ยังแทนสภาวะการมีชีวิตด้วยร่างมนุษย์ที่มีผิวขาวอมชมพู
แล้วในทางตะวันออกกล่าวถึง'ธรรมชาติ'นี้อย่างไรในศิลปะ นอกเหนือจากความเชื่อทางพุทธศาสนา?
สำหรับปรัชญา 'วะบิ ซาบิ' ที่ถือปฏิบัติกันในญี่ปุ่นนั้น กล่าวถึงสภาพความจริงของวัตถุความงามในความไม่สมบูรณ์คล้ายกับเป็นความงามในความจริงแบบลัทธิสัจจนิยม (realism) ที่กล่าวถึงความเป็นจริงของกายภาพ ไร้ซึ่งการปรุงแต่งเพื่อให้ผู้ชมได้ใคร่ครวญถึงชีวิต การตระหนักรู้ มากกว่าที่จะหลงระเริงอยู่กับมายาคติหรือยึดถือภาพลวงตา ในหนังสือ The Book of Tea โดย คาซุโกะ โอคาคุระ(Kazuko Okakura, 1906) กล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีชงชา ในวะบิซาบิ นั้นกล่าวว่า‘ทุกสิ่งนั้นไม่สมบูรณ์แบบ อจีรัง และด่างพร้อย'ในธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นการเบิกบานงอกงามไม่ใช่สาระของชีวิตและไม่ยั่งยืน แต่เป็นทุกช่วงวัยแห่งชีวิตต่างหากที่มีความงามหากเราสามารถมองเห็น ทั้งการเสื่อมถอย การโน้มลงของต้นหญ้าอย่างถ่อมตน พื้นผิวที่ปราศจากการขัดแต่ง หาใช่การต่อเติมที่ไร้ความหมายไม่ ตัวอย่างสุนทรียศาสตร์ของวะบิซาบิที่เห็นได้ชัดนอกเหนือจากงานเครื่องปั้นดินเผา (ที่ผู้ผลิตยุคหลังมักไม่เข้าใจใช้วิธีการสร้างโรงงานผลิตให้ออกมาเป็น 'เครื่องปั้นดินเผาแห่งความไม่สมบูรณ์' ออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว) ที่ข้าพเจ้ามองว่าน่าสนใจ คือ เทคนิคการเชื่อมด้วยผงทองหรือเงินลงบนเครื่องถ้วยชามที่แตกร้าวที่เรียกว่า คินสึกิ (kintsugi) โดยวิธีการคือการนำผงทองหรือเงินมาผสมในตัวเชื่อมเพื่อประสานรอยร้าวของเครื่องถ้วยชาม ที่เกิดจากการใช้งานหรือ 'อุบัติเหตุในชีวิต' ของมัน กล่าวกันว่าความงามจาก'เทรนด์ชามแตกเชื่อมทอง'ที่อุบัติขึ้นด้วยการประยุกต์ความงามให้เข้ากับวิกฤตครั้งนี้มีเศรษฐีหรือนักสะสมจงใจทำชามแตกกันเลยทีเดียว
แต่ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าเห็นว่า เราสามารถคำนวณให้เกิดอุบัติเหตุได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่เราไม่สามารถควบคุมการออกแบบการแตกให้เส้นสายเป็นอย่างใจเราจริงๆได้ทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับธรรมชาติของวัตถุที่เป็นไปตามกฏของมันอย่างไม่แยแสเรา บางที รอยประวัติศาสตร์ที่เราคิดว่างามและควบคุมต้องการให้มันเกิดมันก็ไม่เกิดคล้ายกับจะฝึกให้เรายอมรับและหาความงามเอาเอง
ปรัชญาของคินสึกิคือการยกย่องความงามในอดีตของเรา ในทุกอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น การคงไว้ซึ่งความด่างพร้อยอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของเรา และเป็นการบอกว่าเรายัง และยิ่งมีคุณค่า ต่อให้เราแตกร้าวเราก็ยังไม่สมควรถูกโยนทิ้งหรือกลบเกลื่อนราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
(ที่มา: artnet.de)
งานของโคปแลนนั้นวิพากษ์การนำเสนอเรือนร่างบุรุษตามแบบนิยม และคลาสสิกนิยม เขาเลือกใช้ร่างของตนเองที่เหี่ยวยานด้วยวัยและแรงดึงดูดของโลกที่ดึงลากผิวหนังให้ลู่ลง นำเสนอด้วยมุมมองที่เปลี่ยนสถานะจากร่างกายมนุษย์สู่วัตถุที่ไม่มีอยู่จริง (แบบ Surrealist ) ทิศทางแนวความคิดการนำเสนอนั้นไม่มี มันเป็นการด้นสดเอาจากร่างที่โรยรา ทั้งผิวหนังที่อ่อนล้ากรำไปด้วยริ้วรอยและความเสื่อมถอยของอวัยวะ เขาไม่ต้องการคร่ำครวญให้กับร่างที่แตกต่างจากความเต่งตึงในวัยหนุ่มสาว แต่สนุกและเอนจอยกับความงามที่มันหยิบยื่นให้ด้วยการทดลองหามุมที่ต้องการนำเสนอถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในร่างของเขา นำเสนอผ่านสไตล์งานจิตรกรรมอเมริกันในยุค 1940-60 ซึ่งคือการปะทะของวัตถุ, ขนาด, ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านี้ที่มีต่อผู้ชม ซึ่งแตกต่างจากการดูในสมุดภาพถ่ายทั่วไป
(ที่มา: matthewswarts.com)
งานของโคปแลนย้ำให้ข้าพเจ้านึกถึงสาระของวะบิซาบิที่กล่าวถึงความงามในความจริงของวัตถุ ไม่ใช่เฉพาะความเต่งตึงที่จะพูดถึงความงามได้ สิ่งที่งานของโคปแลนต่างออกไปคือการนำร่างกายมาบิดหามุมที่น่าสนใจแต่เขาไม่ได้ต่อเติมสิ่งแปลกปลอมเข้ากับความจริงของร่างของเขาเลย โคปแลนกล่าวว่า 'ในทางกลับกัน งานภาพของผมนั้นตรงไปตรงมามีเพียงขนาดของภาพและความคมชัดของภาพเท่านั้นที่ถูกปรับแปลง'
ร่างที่ผ่านการใช้งานของชายชราวัย 60 ที่เต็มไปริ้วรอยที่ศัลยกรรมไม่สามารถลอกเลียนได้ คือร่องรอยแห่งทองคินสุโคจิ บนร่างที่ร่วงราอย่างสง่างาม
อ้างอิง
Naj Phonghanyudh, The Beauty of Transience [ไม่ได้ตีพิมพ์], 2014
Berlind, Robert, ‘John Coplans’, Art Journal; Spring94, vol. 53 < http://web.b.ebscohost.com/ehost/detail?vid=4&sid=f0261ed4-648a-483b-9572-871ca8b005be%40sessionmgr112&hid=125&bdata=JnNpdGU9ZWhvc3QtbGl2ZQ%3d%3d#db=asu&AN=505677578
> [accessed 20 April 2014], pp. 33-34
Hopkinson, Amanda, ‘John Coplans: Prolific
founder of Artforum magazine whose photographic self-portraits challenged the
taboo on ageing’, The Guardian: Obituary,
5 September 2003 http://www.theguardian.com/news/2003/sep/05/guardianobituaries.obituaries [accessed 20 April 2014]
(paras. 6-7,11 of 19)
Koren, Leonard, ‘Introduction’, Wabi-sabi for Artists, Designers,
Poets & Philosophers (United States: Stone Bridge
Press, 1994)
Koren, Leonard, ‘Historical and Other
Considerations’, Wabi-sabi
for Artists, Designers, Poets & Philosophers (United
States: Stone Bridge Press, 1994)
Koren,
Leonard, ‘The Wabi-Sabi Universe’, Wabi-sabi for Artists, Designers, Poets & Philosophers (United
States: Stone Bridge Press, 1994)
Nochlin, Linda, ‘Chapter 5: Real
Beauty: The Body in Realism’, Bathers,
Bodies, Beauty: the visceral eye (Canada: Harvard University Press, 2006)
Nochlin, Linda, ‘Chapter 6: More
beautiful than a Beautiful Thing: The Body, Old Age, Ruin, and Death’, Bathers, Bodies, Beauty: the visceral eye
(Canada: Harvard University Press, 2006)
Smee, Sebastian, ‘In striking photos,
John Coplans shows his hand’, The Boston
Globe: Theater & Art, 16 January 2014 <http://www.bostonglobe.com/arts/theater-art/2014/01/16/striking-photos-john-coplans-shows-his-hand/OEqunUUVWjFuPomMtl5hXO/story.html> [accessed 20 April
2014], (para. 9 of 16)
No comments:
Post a Comment