Tuesday, 27 January 2015

กรีซแล้วไปไหน?: อิสรภาพที่มาช้าเกินไป จนไม่สามารถทวง'หิน'กลับคืน

ข่าวการชนะการเลือกตั้งของพรรคซีริซา (Syriza) ในกรีซของพรรคฝั่งซ้ายที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัด (Anti austerity หรือการต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อประคองตัวในช่วงเศรษฐกิจขาลงของรัฐบาล เช่น การขึ้นภาษีในสหราชอาณาจักรและเป็นนโยบายที่ยุโรปตะวันตกใช้และส่งเสริม) ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของการ'ไม่อ่อนข้อ'ให้กับยุโรปอีกต่อไป พาโบล อิเกลเซียสกับพรรคโพเดมอสในสเปนถึงกับกล่าวว่า 'ชัยชนะ(จากการเลือกตั้ง)ในซีริเซีย... จะทำให้กรีซมีประธานาธิบดีของตัวเองอย่างแท้จริง --ไม่ใช่ร่างทรงของแอนเกล่า แมร์เคล(จากเยอรมนี)อีกต่อไป' (Guardian, 26 January 2015)

หากเราได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกอย่างคร่าวๆก็คงจะพอทราบกันว่า ระบอบการปกครองต่างๆตั้งแต่ระบอบเผด็จการภายใต้ผู้นำเพียงคนเดียว การปกครองแบบคณาธิปไตยที่ว่าด้วยหลายกลุ่มคณะ ไปจนถึงระบอบประชาธิปไตยนั้นล้วนมีต้นแบบมาจากพื้นที่ที่เรียกว่า กรีซ ในปัจจุบันทั้งสิ้น 
เหตุที่ต้องย้ำว่า กรีซในปัจจุบัน (Modern Greece) ก็เพราะถึงแม้ว่าประวัติอารยธรรมด้านต่างๆของโลกจะมีมาจากผืนดินอายุพันปีแห่งนี้ แต่มันเพิ่งมาถูกเรียกว่า รัฐกรีซ (Modern Greek state) จริงๆไม่กี่ร้อยปี หลังจากที่ได้รับอิสรภาพจริงๆจากจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1830 และคำว่า กรีซใหม่ นี้เองที่เป็นตัวปัญหาในการกู้วัตถุโบราณของกรุงอาเธนส์กลับมาจากพิพิธภัณฑ์บริติช มิวเซียม ในกรุงลอนดอน --วัตถุ ที่มาจากวิหารพาเธนอน อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการถวายความเคารพแด่เทพีอะเธน่า ผู้เป็นหัวใจของชาวกรีก -- วัตถุ ที่เป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาอะโครโปลิส ที่การปกครองแบบประชาธิปไตยได้ถูกอุบัติขึ้น -- วัตถุ ที่ชาวกรีกหลายล้านคนกล่าวว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ สัญลักษณ์ของกรีซที่แท้จริง

วัตถุที่ว่า ก็คือ หินอ่อนแกะสลักจากวิหารพาเธนอน (Parthenon) ที่ถูกเปลี่ยนชื่อให้ดูเป็นอังกฤษชนว่า หินอ่อนเอลกิ้น (Elgin marbles) ตามอย่าง ลอร์ด เอลกิ้น หรือ ทอมัส บรูซ แห่งสก็อตแลนด์คนที่ 7 ขุนนางอังกฤษจอมจัดแจงการนำหินอ่อนมายังเกาะอังกฤษ

 หินอ่อนบางส่วนจากวิหารพาเธนอน ปัจจุบันอยู่ในบริติช มิวเซียม กรุงลอนดอน

แต่หินอ่อนชิ้นนี้หลุดรอดออกมาจากกรุงอาเธนส์ได้อย่างไร ในเมื่อขณะนั้นยังตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันอันเคร่งครัด? 
คงต้องของย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจักรวรรดิอิสลามเสียก่อน (ในที่นี้จะขอหมายถึงจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรวรรดิมุสลิมที่มีอำนาจ ประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณมากที่สุด) ซึ่งทั้งสองเป็นอริศัตรูกันตั้งแต่สมัยสงครามศาสนา จะมีพัฒนาการบ้างก็คือการเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองแบบ เอาเพื่อนอยู่ใกล้ตัว แต่เอาศัตรูอยู่ใกล้ใจ เมื่อฝรั่งเศสและเนเทอร์แลนด์เริ่มสร้างการค้ากับจักรวรรดิออตโตมันผู้ปิดเส้นทางการค้าเครื่องเทศและสินค้าผ้าไหมระหว่างยุโรปกับตะวันออก ซึ่งก็เล่นเอาอังกฤษผู้แปลกแยกและถูกกั้นกลางด้วยช่องแคบทางทะเลอยากจะติดต่อสัมพันธ์กับออตโตมันขึ้นมาบ้าง เพราะเบื่อสงครามทางทะเลที่ไม่จบไม่สิ้นกับสเปนเสียเหลือเกิน จนอยากจะหาเพื่อนมาเฟียมาไว้ประดับบารมี พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษเอง (ราว คริสตศตวรรษที่ 15-16) ก็อยากจะมีคอลเลคชั่นชุดนอนผ้าไหมใหม่ๆบ้าง (กล่าวกันว่าพระองค์มักจะนิยมการแต่งกายอย่างสุลต่านเมื่ออยู่ภายในพื้นที่ส่วนพระองค์) อังกฤษจึงได้เริ่มทำการ'ตีสนิท'กับสุลต่านของจักรวรรดิออตโตมัน เรื่อยมาจนกระทั่งยุคของพระบรมราชกุมารีอย่าง พระนางอลิซาเบธ
แม้ว่าการได้เป็น'เพื่อน'จะไม่มีผลทางการเมือง แต่สิ่งที่อังกฤษได้รับ คือรสนิยมและศิลปวัฒนธรรม

ปัญหาก็คือ ศิลปและวัฒนธรรมของจักรวรรดิออตโตมันนั้นใช่ว่าจะเป็นงานซุ้มประตูแบบโค้งมีมุมบัว งานตกแต่งด้วยหินโมเสคเสมอไปเสียเมื่อไหร่ เพราะว่าอาณาจักรออตโตมันนั้นใหญ่โตครอบคลุมไปถึงกรุงอาเธนส์ ซึ่งเป็นหัวใจของศิลปวัฒนธรรมแบบกรีกคลาสสิกและโรมัน(อย่างที่เราเห็นของเลียนแบบในปัจจุบันตามหมู่บ้าน ประเภท รูปปั้นวีนัส เทพเจ้าสีขาว หรืออาบอบนวดที่เน้นบุรุษเพศว่าเป็นดั่งเทพเจ้าโพเซดอนนั่นแหละ) จนถึงขั้นดัดแปลงวิหารพาเธนอนที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมอย่างกรีกคลาสสิค ให้กลายเป็นมัสยิดด้วยการเพิ่มหอมินาเร็ต(อันเป็นหัวใจแห่งสถาปัตยกรรมศาสนสถานอิสลาม) 

ซากวิหารพาเธนอน ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นมัสยิดในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน
(ภาพจาก utexas.edu)

หลังจากที่ยื้อยุดกับกองทัพเวเนเชี่ยนและยึดครองพื้นที่แถบคืนได้ งานศิลปกรรมกรีกที่เห็นเป็นตัวเป็นตนโดยเฉพาะรูปปั้นเปลือยนั้นขัดต่อหลักศาสนาที่ว่ามีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิต จึงไม่มีความจำเป็นทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมต่อผู้มาปกครองใหม่อย่างมุสลิมออตโตมันที่ใช้รูปทรงเรขาคณิตในการออกแบบศิลปกรรม แต่กลับมีคุณค่ากับยุโรปเก่าอย่างนายพลโมโรสินี่ ผู้นำกองทัพเวเนเชี่ยนที่พยายามจะเลียนแบบโดเก้ผู้ครองนครเวนิซในการยึดเอาม้าสี่ตัวแห่งเซนต์มาร์คจากคอนสแตนติโนเปิล หรือกงศุลฝรั่งเศสประจำตุรกีอย่างคอมต์ เดอ ชัวเซย-กุฟฟิเย รวมถึงลอร์ด เอลกิ้น ผู้เป็นฑูตประจำประตูการค้า Sublime Porte แห่งกรุงคอนแสตนติโนเปิล(กรุงอิสตันบูลในตุรกีปัจจุบัน) ในปีค.ศ. 1799 ในขณะที่โมโรสินี่ใช้วิธีแบบทหาร คือพยายามเข้ายึดครองเพื่อจะได้ครอบครองวัตถุ เอลกิ้นกลับใช้อำนาจและเส้นสายทางการฑูตในระยะเวลา 2 ปีในหน้าที่ เพื่อการดำเนินการขอเอกสารนำหินสลักแห่งวิหารพาเธนอนมายังสหราชอาณาจักร หินอ่อนชิ้นแรกจากซากวิหารถูกเลื่อยลงในปี ค.ศ. 1801

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดมุ่งหมายของเอลกิ้นนั้นคืออะไร ระหว่างการนำศิลปวัตถุชั้นเลิศมาให้กับราชอาณาจักร เพื่อเป็นตัวอย่างทางการศึกษา ให้พ้นจากการถูกทิ้งร้างหรืออันตรายที่เกิดจากสภาพความไม่มั่นคงทางการเมืองบนพื้นดินอะโครโปลิซ หรือว่าการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้เอกสารขอสิทธิในหินอ่อนพาเธนอน การขนส่งหินอ่อนและเรือขนส่งที่ดันเจอกับพายุทำให้ล่มและต้องไปกู้วัตถุขึ้นมาจากทะเล หรือการหย่าร้างส่วนตัวที่ทำให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวและจำต้องขายศิลปวัตถุชิ้นนี้ให้กับรัฐแทน(ที่จะได้ไปตั้งอยู่ในบ้านของเขา) คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์นักประวัติศาสตร์ที่เกลียดเอลกิ้นอย่างเข้าใส้กล่าวว่าสหราชอาณาจักรนั้นต้องคืนหินอ่อนชิ้นนี้ให้กับกรีซในปัจจุบัน ซึ่งก็ดูจะได้รับการสนับสนุนในแง่ของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและศีลธรรมขั้นพื้นฐานของคนหมู่มาก โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อว่าบริติชมิวเซียมคือพิพิธภัณฑ์ของโจร ฮิทเช่นส์กล่าวว่าเอลกิ้นใช้อำนาจมิชอบในการไปนำหินอ่อนนี้ออกมาจากอะโครโปลิซ หรือกรีซในปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองอย่างเต็มตัวของจักรวรรดิออตโตมัน เอลกิ้นเป็นคนปลิ้นปล้อนที่หลอกลวงว่ามีเอกสารลงลายลักษณ์อักษรขอส่งออกหินอ่อนอย่างถูกกฏหมายจากราชการออตโตมัน แต่เมื่อต้องเข้าชี้แจงกับสภาในอังกฤษ 'เอกสาร(firman) ที่ว่ากลับหายไปเฉยๆ' ซึ่งสภาอังกฤษเองก็ไม่อยากจะซื้อ'เศษหิน'ในราคาที่เอลกิ้นคำนวนต้นทุนมา 64,440 ปอนด์ แต่กลับเสนอให้ 30,000 ปอนด์ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงเอกสารรับรองสิทธิในการครอบครองหินอ่อนนี้ที่เอลกิ้นไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ออตโตมันให้วิ่งเต้น และใช้อำนาจทางการฑูตเพื่อเดินเรื่องอีกด้วย

วิลเลียม เซนต์ แคลร์ กล่าวต่างออกไปในข้อเขียนในปี 2006 ว่าเอกสาร firman ที่ว่านั้นมีช่องโหว่ทางภาษาที่ถูกแปลไปแปลมา และเอกสารที่ว่าหายนั้นสุดท้ายแล้วเขาเป็นผู้ตามหามันเจอ (แต่ก็ไม่ทันที่จะใช้เป็นหลักฐาน เอ เสียแล้ว) เอกสารอนุญาตนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า 'อังกฤษไม่ได้ไปขโมยมา' แต่ได้นำหินอ่อนออกนอกจักรวรรดิอย่างถูกต้อง แต่การใช้อำนาจและเส้นสายทางการฑูตในขณะดำรงตำแหน่ง การติดสินบน(ซึ่งอาจไม่ใช่เสียทีเดียว แต่เป็น'สินน้ำใจ'ก็เป็นได้) ต่างหากที่ทำให้ประวัติของอังกฤษด่างพร้อย

บริติช มิวเซียมสร้างห้องโถงขนาดใหญ่เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงหินอ่อนพาเธนอนโดยเฉพาะ (ภาพจาก wikipedia.org)


สภาอังกฤษตัดสินใจซื้อหินอ่อนแห่งพาเธนอนในราคา 35,000 ปอนด์ แต่มันไม่ได้ครอบคลุมสิทธิที่แท้จริงแห่งการครอบครองตัวหินอ่อนเลย หินอ่อนพาเธนอนกลายเป็นวัตถุที่สร้างความอื้อฉาวและข้อโต้แย้งตั้งแต่การนำเข้าไม่จบสิ้นจนถึงปัจจุบันเมื่อกรีซเรียกร้องขอหินอ่อนคืน

อาเธนส์และพื้นที่ทั้งหมดของกรีซนั้นได้รับอิสรภาพจากสงครามประกาศอิสรภาพกับออตโตมันในปี ค.ศ. 1832 ซึ่งเอื้อต่อการเรียกร้องความเป็นธรรมที่เคยหล่นหายในสมัยอยู่ใต้จักรวรรดิออตโตมัน
นักการเมืองของกรีซสมัยใหม่ได้ใช้ 'การเรียกร้องหินอ่อนกลับประเทศ' เป็นตัวแรกคะแนนประชานิยม นักแสดงกรีกที่ผันตัวเป็นนักการเมืองอย่าง เมลินา แมคูโอรี่ ก่อตั้งมูลนิธิเรียกร้องหินอ่อนกลับคืนพาร์เธนอนและกล่าวว่ามันคือหัวใจของกรีซ ของต้นแบบประชาธิปไตย มันคือความเป็นกรีก นักการเมืองของอังกฤษอย่างโทนี่แบลร์ สัญญาก่อนได้รับการเลือกตั้งในยุค 90 ว่าจะส่งมอบมันให้กับกรีซ แต่เมื่อได้ขึ้นเป็นนายกกลับกล่าวว่าทิศทางของพรรคได้เปลี่ยนไปแล้ว กลุ่มที่นิยมสหราชอาณาจักรก็กล่าวว่าลอนดอนนั้นมีอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย และมีการดูแลหินอ่อนอย่างดีในบริติชมิวเซียม ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาให้กับผู้ที่สนใจอย่างแท้จริงโดยไม่คิดเงินและเข้าถึงง่ายกว่าอาเธนส์ ที่อยู่บนประเทศที่ไม่มั่นคงทางการเมือง มีการปกครองโดยเผด็จการทหาร( ค.ศ. 1967-74) มีสภาพล้มละลายทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งประชาคมยุโรป และมลพิษหมอก เนฟอส ที่มีสภาพกัดกร่อนทั้งสิ่งปลูกสร้างโบราณและเมืองในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน ลอนดอนก็กลายเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายในโลกปัจจุบันเช่นกัน เมื่อมีการระเบิดเกิดขึ้นในปี 2007

ประเด็นทางกฏหมายอย่างหนึ่งที่สนับสนุน 'การไม่ส่งคืน' ก็คือการออกพระราชบัญญัติ Act of Parliament: The British Museum Act (1963) หลังจากการซื้อหินอ่อนจากเอลกิ้นว่า จะตกเป็นสมบัติของสหราชอาณาจักรและไม่ส่งออกไปยังที่อื่น ซึ่งพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษมักอ้างกฏข้อนี้ว่าหากกระทำแล้วพิพิธภัณฑ์จะละเมิดกฏข้อนี้ทันที จึงไม่สามารถส่งคืนได้ (และหากพระราชบัญญติถูกแก้ไขได้ ก็อาจจะมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นคดีตัวอย่าง จนอังกฤษอาจจะหมดตัวเอาได้ง่ายๆ)

กรีซใหม่นั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้หินอ่อนกลับคืนไม่ใช่แค่เพียงจากอังกฤษ เมื่อหินอ่อนนั้นกระเด็นไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ปารีส, เยอรมัน และที่อื่นๆ เพียงแต่ลอนดอนคือผู้ที่ครอบครองจำนวนมากที่สุด มีการสร้างพิพิธภัณฑ์อะโครโปลิซขึ้นใหม่เพื่อโต้แย้งว่า บริติช มิวเซียม นั้นไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่ดีพร้อมอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว กรีซใหม่มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการทหารอีกต่อไป มีผู้เชี่ยวชาญในการหารือแก้ไขปัญหาหมอกพิษ ขอเพียงบริติช มิวเซียมและรัฐบาลอังกฤษให้ความร่วมมือส่งกลับคืน
แต่ประเด็นกฏหมายแบบ'หัวหมอ'ที่กรีซยังแก้ไม่ตกก็คือ ผู้ที่เรียกร้อง (เช่นนักการเมืองในกรีซที่ต้องการสร้างฐานคะแนนนิยม)มักจะอ้างว่า หินอ่อนพาเธนอน คือหัวใจของความเป็นกรีก และต้อง'ส่งคืนกลับประเทศแม่' (repatriation) แต่ 'ประเทศแม่' ที่ว่านั้นอยู่ที่ใดเล่า? เมื่อหินอ่อนถูกยกให้กับอังกฤษโดยผู้ปกครองออตโตมันที่มีสิทธิสมบูรณ์ทุกประการในการครอบครองทุกสิ่งบนผืนดินอาเธนส์ และ กรีซ ที่ถูกอ้างว่าเป็นบ้านเกิดของหินนี้นั้น เพิ่งจะได้รับสถานะความเป็นรัฐชาติก็เมื่อสงครามประกาศอิสรภาพกับออตโตมันสิ้นสุดลงในปี 1831 หลังจากที่สภาอังกฤษได้ถือครองหินอ่อนโดยสมบูรณ์จากการซื้อจากเอลกิ้นและออกพระราชบัญญัติในปี 1816 ไปตั้งนานแล้ว 



'แล้วจะให้อังกฤษส่งกลับคืนที่ใด ในเมื่อที่อยู่ไม่ตรงกับที่จากมา?'




(ภาพหินอ่อนแกะสลักหัวม้า ปัจจุบันอยู่ในบริติช มิวเซียม)

อ้างอิง
Anne Penketh, 'Syriza's election victory in Greece - how Europe reacted', Guardian, 26 January 2015
*หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ถูกปรับเนื้อหาให้เข้ากับสื่อโดยอ้างอิงจากวิทยานิพนธ์ของผู้เขียน 
Naj Phonghanyudh, Parthenon or Elgin? Imperialism and the acquisition of the Parthenon marbles, 2014 (ไม่ตีพิมพ์)






Monday, 19 January 2015

คำถามถึงฮีโร่แห่งศิลปะในสงครามโลกครั้งที่ 2 : The Monuments Men กองทัพฉกขุมทรัพย์โลกสะท้าน กับเหยื่อสงครามอย่างงานศิลป์

เมื่อไม่นานมานี้ เคเบิลทีวีที่ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกอยู่ได้นำเอาภาพยนตร์เรื่อง The Monuments Men กลับมาฉายใหม่ ข้าพเจ้าจำได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราไม่นานนักเมื่อเทียบกับภาพยนตร์เน้นความบันเทิงเรื่องอื่นๆ -- ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเมื่ออ้างอิงกับความจริงที่ว่า งานศิลปะหลายๆชิ้นเองที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้น ไม่ได้เป็นที่รู้จัก(ในบ้านเรา)เท่ากับภาพโมนาลิซ่า ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ หรือรูปปั้นเดวิด ที่เรามักนำมาล้อเลียนเพราะว่ามันเปิดเผยเครื่องเพศอย่างแจ่มชัด
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปดู'หนัง'เรื่องนี้ในปารีสรอบฉายนั้นค่อนข้างจะเต็มเลยทีเดียว และที่แอบรู้สึกขำและโยงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คงจะเป็นตอนจบที่ขึ้นเครดิตนักแสดงเลือดฝรั่งเศส   ฌอง ดูจาร์แดง แล้วบรรดาคนฝรั่งเศสกลับตบมือบราโวกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งที่ความเป็นจริงตัวละครที่ดูจาร์แดงแสดงนั้น เป็นตัวละครสมมติที่ไม่ได้มีอยู่ในกลุ่ม 'กองทัพฉกขุมทรัพย์' นี้จริงๆเสียหน่อย ในขณะที่โลกต้องการฮีโร่ และอเมริกาเองก็พยายามผลิตภาพของฮีโร่มาตลอด จากทั้งหนังยอดมนุษย์ตระกูลมาร์เวลล์ ไปจนถึงหนังเรื่อง อาร์โก้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่แสดงภาพของอเมริกากับการเป็นฮีโร่ท่ามกลางบรรยากาศความน่ากลัวของกรุงเตหะราน(ตะวันออกกลาง) จนมาถึงการลุกขึ้นมาเป็นฮีโร่โดยต่อต้านผู้ร้ายตลอดกาลอย่างฮิตเลอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของอเมริกา (อย่าลืมว่าในอเมริกาก็ประกอบไปด้วยชาวยิวผู้ถือเงินจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว) เพียงแต่เป็น'เหล้าใหม่'ในขวดเก่าเมื่อเอาบริบทของงานศิลปะมาเกี่ยวข้องกับการเป็นอเมริกันฮีโร่ 

(ภาพจาก atwar.blogs.nytimes.com)

เมื่อมีหนังฮีโร่ในวงการศิลปะอย่างกองทัพกู้ศิลป์ชุดนี้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าเองก็ตื่นเต้นและ 'อิน' ไม่ใช่น้อย... ทั้งที่ การขโมยงานศิลป์ มันมีมานานก่อนฮิตเลอร์จะลอกเลียนวิธีการของนโปเลียนด้วยซ้ำ ตัวอย่างของการปล้นสะดมงานศิลป์ที่โด่งดัง เช่น รูปปั้นหล่อบรอนซ์ม้าสี่ตัวแห่งเซนต์มาร์ค (Horses of San Marco) ที่นโปเลียนไปเอามาเวนิซ ซึ่งโดเก้ผู้ปกครองเวนิซก็ไปเอามาจากคอนสแตนติโนเปิล ที่พระเจ้าคอนสแตนตินไปเอามาจากกรีซอีกที หรือแม้กระทั่งวัตถุโบราณบางชิ้นในพิพิธภัณฑ์บริติช มิวเซียม ที่'การนำเข้า' ถูกทำให้ถูกกฏหมายด้วยการอ้างความชอบธรรมในการครอบครองพื้นที่ (Rights of Conquest) ทั้งที่'ผู้นำเข้า'เองอาจจะได้มาจากความเชืิ่อถือในตัวผู้ค้า (good faith) การติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อทำเอกสารอย่างถูกต้อง(กรณีรูปปั้นหินอ่อนแห่งพาร์เธนอนในบริติช มิวเซียม) และการอ้างความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อเข้าแทรกแทรงและนำวัตถุมาครอบครองเพื่อรักษา 

ตัวอย่างที่กล่าวถึงก็เพื่อจะไปสู่ประเด็นหลัก(จริงๆ) ที่ว่า เรามักให้ความสนใจกับ 'เรื่องอื้อฉาว' ที่ว่าใครขโมยของใคร ใครซื้อของโจร ใครเป็นฮีโร่ แต่เรากลับลืมไปว่า 'ของ' ที่ถูกโยกย้ายเป็นว่าเล่นนั้นจะบอบช้ำแค่ไหน เมสัน แฮมมอนด์เขียนบทความ The War and Art Treasures in Germany ขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี ค.ศ. 1946 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลงานศิลปะที่กองทัพอเมริกันได้อาสาไปกู้ออกมาจากเยอรมนีที่แตกร้าวลงหลังสงคราม หลายๆเมืองในเยอรมนีผู้เคยเป็นศูนย์กลางแห่งยุโรปนั้นก็บอบช้ำไม่แพ้กันจากการทิ้งระเบิด หมู่บ้านประวัติศาสตร์และอนุเสาวรีย์เองก็แทบไม่เหลือซาก แฮมมอนด์ยกตัวอย่าง บ้านโบราณในเมืองลือเบคค์ (Lübeck) ที่เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบโกธิกโดยการก่ออิฐ หรือหน้าต่างทั้งหมดของโบสถ์ในเมืองมักเดบวกร์ ที่เป็นโบสถ์โกธิกที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมนี รวมทั้งบางส่วนของโบสถ์ที่ถูกระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรทำลาย บ้านของกวีเกอเธ่ที่'เหลือเพียงก้อนหินวางทับกัน' จากตัวอย่างเหล่านี้บางคนอาจกล่าวว่า สถาปัตยกรรมที่ถูกทำลายนั้นก็เป็นผลพวงของสงครามที่ต้องทำใจยอมรับ ภาพของเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันและการร่วมมือของอังกฤษในการกู้งานศิลปะกลับคืนมาจากแผนการสร้างพิพิธภัณฑ์ลินซ์ในบ้านเกิดของฮิตเลอร์เองนั้นกลับถูกประโคมเสียยิ่งกว่าสภาพหลังการทิ้งระเบิดในเยอรมนี 


ภาพทหารอเมริกันกำลังสำรวจสภาพรูปปั้นสิงโตที่หล่นหักจากแรงระเบิดในมิวนิค ที่ประตูเมือง Siegestor (ภาพจาก munichFOTO/ theMunicheye.com)

โบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์เมืองนูเรมแบร์กและมิวนิค ถูกนำมาเก็บรักษาในสถานที่ๆปลอดภัย พระราชวังนอยชวานชไตน์ และฮาเร็นเคียมซีของพระเจ้าลุดวิคที่สองกลายเป็นโกดังเก็บงานศิลปะชั่วคราวโดยการขนย้ายของเจ้าหน้าที่ทางวัฒนธรรมของเยอรมนี รวมทั้งในเหมืองเกลืออย่างที่ปรากฏในหนังก็กลายเป็นโกดังงานศิลป์ ที่บรรดานายทหารสัมพันธมิตรกล่าวในหนังว่าหากฮิตเลอร์แพ้ เขาจะสั่งระเบิดเหมืองทิ้ง คล้ายกับจะบอกว่า 'ข้าไม่ได้ เอ็งก็ต้องไม่ได้ด้วย' ดังนั้นความชอบธรรมจึงถูกสร้างขึ้นในการเข้าปฏิบัติการกอบกู้งานศิลป์ให้พ้นจากเงื้อมมือนาซี

แต่สภาพของงานล่ะ?

อันที่จริงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้น กองทัพเยอรมนีมีหน่วยงานที่ดูแลการเก็บรักษางานศิลปะที่เกิดจากสิทธิในการยึดครองในระหว่างสงครามอยู่แล้ว เรียกว่าหน่วย กุนสชุตส (Kunstchutz)  โดยไม่เกี่ยวข้องกับความอยากส่วนตัวของฮิตเลอร์และกลุ่มนายทหารที่ต้องการปล้นงานศิลป์และสมบัติโดยชอบธรรมของชาวยิวมาครอบครองโดยใช้ชื่อหน่วยงานว่า ไอนสัตชตาร์บ โรเซ็นแบร์ก ( Einsatzstab Rosenberg ตามอย่าง อัลเฟร็ด โรแซนแบร์ก ผู้นำทางความคิดเกี่ยวกับเชื้อชาติ การสังหารชาวยิว และแนวทางต่างๆของพรรคนาซี รวมถึงนิทรรศการ 'งานศิลป์เสื่อม' หรือ Degenerate art ตามประสงค์ของฮิตเลอร์ )

ภาพกองกำลัง โรเซนแบร์ก กับกล่องบรรจุวัตถุโบราณและงานศิลปะ (ภาพจาก jmberlin.de)

เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ว่านายทหารเยอรมันหลายๆคน ได้หอบเอางานศิลป์บางส่วนหลบหนีเข้าป่าไปตั้งแต่ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงกรอกปากตัวเองไปตั้งนานแล้ว ยังไม่รวมถึงความเข้าใจผิดในการเข้าปฏิบัติการขนย้ายเนื่องจากว่า วัตถุโบราณและงานต่างๆนั้นถูกบรรจุลงกล่องและเขียนหมายเลขกำกับ มันจึงยากมากที่จะทำการรวบรวม(จากหลายโกดังเฉพาะกิจและการตามตัวคนขนไม่ได้) เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ หรือถูกปิดปาก การจัดการที่ทำให้งานศิลป์บางส่วนถูกทำลายโดยบังเอิญ และการแทรกแซงของผู้ที่มีเจตนาปล้นสะดมจริงๆทำให้งานศิลปะหลายๆชิ้นตกหล่นระหว่างทาง แต่ในขณะเดียวกันแฮมมอนด์กลับให้เหตุผลว่า สภาพของเหมืองเกลือนั้นแท้จริงกลับมีคุณต่องานศิลปะเนื่องจากว่ามันแห้ง จึงสามารถป้องกันความชื้นที่อาจทำลายงานศิลปะได้ระยะหนึ่งเลยทีเดียว (การจัดการความชื้นนั้นเป็นวิธีพิสูจน์พิพิธภัณฑ์งานศิลปะที่ดีอย่างหนึ่ง) ดังนั้นการที่จะทิ้งมันไว้ในเหมือง(จนทำให้หนังเอาไปเป็นส่วนหนึ่งของพล็อต)ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการต้องขนย้ายไปมาหลังสงคราม แผงตกแต่งโต๊ะบูชาสไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างแผงไฟต์ ชตอสส์ (Veit Stoss altarpiece) ที่เยอรมันไปเอามาจากโปแลนด์ และบางส่วนจากพระคลังแห่งเวียนนาที่กองทัพนาซีไปยึดครองมานั้นเป็นเพียงบางส่วนที่ได้รับการกู้กลับมาโดย 'การสืบสวนอันชาญฉลาดของกลุ่ม มอนูเมนต์ แห่งอเมริกา' ดังนั้น 'ขุมทรัพย์'ต่างๆ (ของฮังการี ปรัสเซีย และออสเตรีย) ที่กลุ่มนี้ได้ไปพบเข้า จึงตกอยู่ในความดูแลของสหรัฐไปโดยชอบธรรมรวมถึงส่วนมากที่อยู่ในเบอร์ลินอีกด้วย มาถึงตรงจุดนี้ดูเหมือนว่าที่ในหนังพูดไว้จะไม่ค่อยผิดเพี้ยนนักเมื่อความสำเร็จของการกู้ศิลป์มาจากพวกนาซีนั้นโดยหลักๆแล้วเป็นความร่วมมือของบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลป์ นักโบราณคดีและสถาปนิกของอเมริกาและอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยนอกเหนือจากการค้นพบงานศิลป์ที่ถูกซ่อนตามเหมือง คือการศึกษาแผนที่เพื่อขอความร่วมมือกับกองทัพไม่ให้ตั้งฐานหรือเข้าปฏิบัติการในบริเวณที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้  

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่องานศิลปะหลายชิ้นตกอยู่ในความดูแลของกลุ่มสัมพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ การพิสูจน์ความถูกต้องในการครอบครองจึงเกิดขึ้น แฮมมอนด์ยกตัวอย่าง งานศิลปะในคอลเลคชั่นของไคเซอร์ ฟรีดริช ที่อยู่ในกรุงเบอร์ลินนั้นถูกย้ายไปมาจากที่เก็บในแฟรงเฟิร์ต ไปยัง เมืองวิสบาเด็น ในระหว่างการตรวจสอบความชอบธรรมของผู้เป็นเจ้าของ และการรักษาไว้ซึ่งวัตถุเลอค่าเหล่านี้ 'ตามกฏหมาย'แล้ว อเมริกามีฐานะเป็น ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษา (trustees) จนกว่าเยอรมนีจะสามารถตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ แต่คำว่า 'รักษา' (preservation) นี้เองที่อาจจะต้องนำมาทำความเข้าใจกันใหม่ ซึ่งมันอาจหมายถึง รักษาให้พ้นจากการถูกทำลายทางกายภาพ เช่น ความชื้น รอยชำรุดจากการขนย้าย หรือการขนย้ายไม่ถูกวิธี หรือ ตกอยู่ในการครอบครองของผู้ไม่เหมาะสม(คล้ายกับกรณีของรัฐบาลอังกฤษ ในการรักษาหินโรเซตต้าแห่งอียิปต์โดยอ้างความไม่มั่นคงของสภาพแวดล้อม)  ตรงนี้เองที่การเป็นฮีโร่โดยชอบธรรมทางกฏหมายในการกู้งานศิลป์ของเหล่านักวิชาการผู้รักศิลปะถูกตั้งคำถามว่า มันคุ้มกันหรือเปล่ากับการต้องขนย้ายไปเก็บจนกว่า ผลทางคดีจะถูกต้องและชิ้นงานถูกส่งถึงมือผู้ครอบครองโดยชอบธรรมจริงๆ?  ความถูกต้องในเชิงผู้ควรครอบครอง กับความคุ้มค่าในการดูแลทางกายภาพของชิ้นงาน ขัดแย้งกันหรือไม่? ย้อนกลับไปเบื้องต้นที่ว่าสถานที่เดิมที่เคยเป็นที่เก็บรักษางานเหล่านี้ เช่น ท้องพระคลัง และพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั้งในเยอรมนีและ'ประเทศแม่'ของผลงานนั้นกลายเป็นซากจากสงครามที่ต้องใช้เวลาซ่อมแซม และงานศิลปะมูลค่าสูงนั้นจะปลอดภัยจากการดักปล้นหรือการยักยอกได้อย่างไร? และต่อให้มีระบบการคุ้มครองความปลอดภัยจากการปล้น สภาพเป็นร้อยปีของวัตถุนั้นสมควรแก่การพาเดินทางไปมาหรือไม่? ในบางกรณีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกนั้นอ้างการขนส่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชิ้นงานเป็นเหตุผลที่ไม่ส่งวัตถุกลับคืนประเทศแม่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในเชิงกายภาพ ในขณะที่หากไม่มีผู้ครอบครองที่เหมาะสม วัตถุนั้นจะตกอยู่ในความดูแลของใคร? 
หนังนั้นจบตรงที่หนึ่งในตัวแทนกลุ่มมอนูเมนต์ เมน ได้มีโอกาสกลับไปดูรูปปั้นพระแม่มารี ที่เมืองบรูจจ์ในเบลเยี่ยมพร้อมกับหลานชาย คล้ายกับเป็นการขมวดปมที่ว่า อเมริกาได้เป็นฮีโร่ทางอารยธรรมให้กับลูกหลานของเราอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันปมที่แฮมมอนด์ได้ทิ้งไว้กลับกลายเป็น ความชอบธรรมของอเมริกาในฐานะ'ผู้จัดการทรัพย์สิน' ในเมื่อเยอรมนีเองก็อ้าง'ความเหมาะสม'ในการเก็บรักษางานศิลป์ในเชิงกายภาพ การประเมินผลประโยชน์สูงสุดของเหยื่อสงครามซึ่งในที่นี้ก็คืองานศิลปะและวัตถุโบราณ แล้วจะต่างอะไรเล่ากับบทบาทที่อเมริกาทำในการไปเอามาถือไว้จนกว่าจะหาผู้ครอบครองที่เหมาะสมได้? ยังไม่รวมถึงความแคลงใจในเชิงศีลธรรมกับอเมริกาที่เป็นผู้ถือบทบาทตำรวจโลกมาช้านานและ 'มาตรฐาน' ในการตัดสินและเสาะหาผู้ดูแลงานศิลป์ที่เหมาะสมที่สุด เหล่านี้เป็นคำถามที่อเมริกาอาจจะต้องตอบให้ได้กับบทบาทการเป็น 'ฮีโร่' ที่แท้จริงของโลกเสรีนิยม

(ได้รับแรงบันดาลใจและอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความ The War and Art Treasures in Germany 
Mason Hammond, The War and Art Treasures in Germany, College Art Journal, Vol. 5 No. 3 (March, 1946), pp. 205-218)